27 เม.ย. 2019 เวลา 12:36 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สุดท้ายแล้ว Facebook ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายหลักแสนล้านต่อความผิดพลาดในการดูแลความเป็นส่วนตัวของลูกค้า
วันนั้นที่ Mark Zuckerberg เปิดตัวฟีเจอร์ News Feed บนเฟสบุ๊คส์ในปี 2006, ผู้ใช้งาน (ในตอนนั้นยังเป็นกลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัย) ต่างรู้สึกกังวลใจว่าทุกอย่างที่ตัวเองเขียนนั้นจะถูกแชร์ให้เพื่อนๆเห็นอย่างอัตโนมัติ ถึงแม้จะเป็นคนที่ในแวดวงเทคโนโลยีในตอนนั้นทุกคนก็ยังกลัวว่ามันเป็นการแชร์ข้อมูลที่มากเกินไปรึเปล่า พี่มาร์คก็บอกว่าหายใจลึกๆใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะอธิบายเหตุผลถึงสิ่งที่ตนเองทำว่ามันคืออะไร จนสุดท้าย News Feed กลายเป็นไอเดียที่สร้างผลกระทบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว
Zuckerberg ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนั้นด้วยความเชื่อที่นำมาเป็นเข็มทิศนำทาง Facebook ให้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ : เราทุกคนนั้นไม่ได้ต้องการความเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่ที่ตนเองคิด และบางครั้งหนทางเดียวที่จะทำให้คนเหล่านี้รู้ตัวก็คือการสนับสนุนให้พวกเขาแชร์มากยิ่งขึ้นไปอีก
13 ปีต่อมา, Facebook ก็ใช้แนวคิดนี้เพื่อการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่มาร์คเหมือนจะข้ามเส้นแบ่งระหว่างความเป็นส่วนตัวที่มากเกินพอดี เขาก็จะโดนสังคมเตือน (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) แล้วก็ออกโปรดักส์ตัวใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งต่อจากนั้นอีกไม่นาน : ไปให้สุด, โดนตักเตือน, ถอยก้าวหนึ่ง แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง นี่คือกระบวนการหยอกล้อของ Mark Zuckerberg กับ Privacy ของผู้ใช้งานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เหมือนเป็นแหย่ดูว่าทางนี้เป็นไงไปได้ไหม ไม่ได้ก็ไปอีกทาง วนลูปไป คงไม่มีใครเถียงว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเข้าขั้นอัจฉริยะคนหนึ่งของยุคนี้ และเขาก็ใช้ความสามารถที่มีอย่างไม่มีความเกรงกลัว
จนถึงตอนนี้ เมื่อ Facebook ได้เปิดเผยตัวเลขทางการเงินของไตรมาสที่ผ่านมาและมีรายงานระบุว่าจะต้องเสียค่าปรับประมาณ 3-5 พันล้านเหรียญ (ประมาณแสนล้านบาท หรือ 5 เท่าของกำไรทั้งปี 61 ของบริษัท CPALL (7-11) เลยทีเดียว) ให้กับคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission: FTC) จากการฝ่าฝืนข้อตกลงปี 2011 ที่ต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานให้ดีกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามนักลงทุนทั้งหลายต่างรู้ว่าต้องมีการถูกปรับเป็นเงินจำนวนก้อนใหญ่ และตัวเลขอื่นๆของบริษัท Facebook ก็ยังเติบโตได้อย่างไม่มีปัญหา กลายเป็นรู้สึกโล่งใจและราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นกว่า 7% หลังจากปิดตลาดซื้อขาย
Facebook และ FTC นั้นอยู่ระหว่างการเจรจามาหลายเดือน มีข่าวเล็ดลอดออกมามากมายว่าค่าปรับนั้นจะอยู่ในช่วงหลายพันล้านเหรียญ แต่ก็มีข่าวออกมาอีกว่า Facebook ก็พร้อมที่จะสู้คดีต่อรองในส่วนของค่าปรับ การเปิดเผยตัวเลขออกมาสู่สาธารณะเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงทำให้เรารู้ว่า Facebook พร้อมแล้วที่จะจ่ายค่าปรับตามนี้ แม้ยังไม่มีข้อสรุปจริงๆก็ตาม
ค่าปรับนี้แม้จะไม่ได้ทำให้ Facebook ถึงขั้นล้มละลายไปไหนไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย 3 พันล้านทำให้กำไรของพวกเขาในไตรมาสแรกนั้นหายไปกว่าครึ่ง และจะทำให้เงินสดหมุนเวียนของบริษัทลดไปกว่า 7 ถึง 11 เปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าจำนวนเงินก็คือว่าในที่สุด Facebook ก็ต้องโดนลงโทษอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากข่าวฉาวในการเป็นตัวกลางทำให้ข่าวปลอมระบาดจนทำให้ผลเลือกตั้งประธานธิบดี 2016 ของอเมริกาออกมาอย่างที่เห็น และไหนจะเรื่องข้อมูลที่หลุดให้กับ Cambridge Analytica ไปจนถึงการถูกแฮคข้อมูลของผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคนเมื่อปลายปีที่ผ่าน พวกเขาไม่เคยโดนลงโทษเลยสักครั้งเดียว
การถูกกล่าวหาอย่างมากมายและการแสดงความคิดเห็นทางด้านลบจากผู้ใช้งานจำนวนมาก บังคับให้พวกเขาใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อปรับเปลี่ยนตัวธุรกิจของตนเอง ซึ่งนั้นก็ทำให้ราคาหุ้นเหวี่ยงเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา แต่ผู้บังคับกฎหมายก็ไม่ได้มีการเข้ามาแทรกแซงอะไร
นี่อาจจะเป็นการปรับเงินที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ FTC ต่อบริษัทเทคโนโลยี (ครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2012 ที่ปรับ Google ไป 22.5 ล้านเหรียญ) แม้ว่าพวกเขาจะมีทีมผู้นำที่ค่อนข้าง “หลวม” กับการบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทเหล่านี้ ไม่เหมือนกับทางฝั่งยุโรปที่ปรับ Google ไปแล้วกว่า 8 พันล้านตลอดช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมาจากการฝ่าฝืนข้อบังคับเรื่องความเป็นส่วนตัวในหลายเหตุการณ์
แต่สุดท้าย ปีแล้วปีเล่าที่ข้อมูลของผู้ใช้งานถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม บริษัทเทคโนโลยีมากมายนำข้อมูลเหล่านี้ไปสร้างเม็ดเงินมหาศาล จนผู้บริโภคเองนั้นต้องออกมาแสดงความเห็นไม่พอใจมากมายอย่างในตอนนี้ จนในที่สุดรัฐบาลก็มองเห็น และหวังว่าการถูกตีมือครั้งนี้จะทำให้พี่มาร์คนั้นกลับไปทำตัวเรียบร้อยมากขึ้น อย่างน้อยๆก็เคารพสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว (ไม่ดักฟังการส่งข้อความในแอพเมสเซนเจอร์น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี) และข้อมูลของผู้ใช้งานทุกคนมากขึ้นก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว
โฆษณา