20 เม.ย. เวลา 02:00 • ธุรกิจ

กรมทรัพย์สินฯ ไขกระจ่าง! ข้อควรรู้คุ้มครองสิทธิก่อนขาย “แฟรนไชส์”

ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายธุรกิจแฟรนไชส์เป็นการเฉพาะ แต่ยังมีกฎหมายเฉพาะในเรื่องสัญญาแฟรนไชส์ ถือเป็นสัญญาประเภทหนึ่งอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ที่ชี้ให้เห็นว่าสัญญาแฟรนไชส์มีความเกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือบริการและสิทธิบัตร
ใครคิดจะขายแฟรนไชส์ อย่างแรกต้องรู้เรื่องกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้าและบริการ ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของตัวเอง
 
ThaiFranchiseCenter.com มีโอกาสสัมภาษณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย กรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อไขกระจ่างเรื่องการคุ้มครองสิทธิในธุรกิจแฟรนไชส์ หลังเกิดประเด็นดราม่าหลายครั้ง เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร มาดูกัน
จดเครื่องหมายการค้า ก่อนขายแฟรนไชส์
นางสาวทักษอร สมบูรณ์ทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย กรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ก่อนทำธุรกิจแฟรนไชส์ต้องมีเครื่องหมายการค้าและบริการ โดยเจ้าของแบรนด์ต้องไปจดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อคุ้มครองสิทธิให้กับตัวเอง ก่อนขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น เพราะหากไม่ดำเนินการคุ้มครองสิทธิตนเองตั้งแต่เริ่มแรก หากมีคนนำไปใช้ หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์นำไปอ้างสิทธิ เจ้าของแฟรนไชส์อาจไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าของได้
ปัจจุบันรูปแบบการทำธุรกิจแฟรนไชส์มีหลากหลายประเภท บางธุรกิจแฟรนไชส์เกี่ยวกับการสินค้าและบริการ เช่น แฟรนไชส์อาหาร มีทั้งกรณีที่ให้สูตรผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปทำเอง หรือต้องซื้อวัตถุดิบที่ปรุงสำเร็จแล้วจากแฟรนไชส์ซอร์เพื่อนำไปขาย
กรณีถ้าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร จะมีเรื่องสูตรที่เป็นความลับทางการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นแฟรนไชส์ซีต้องใช้เครื่องหมายการค้าและบริการ ภายใต้การควบคุมของแฟรนไชส์ซอร์ ตอนที่ทำสัญญาแฟรนไชส์กันจะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของสัญญาที่เขียนเอาไว้ว่า อนุญาตให้นำเครื่องหมายการค้าไปใช้ได้ และทางแฟรนไชส์ซอร์ก่อนขายแฟรนไชส์ต้องไปจดทะเบียนอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าและบริการกับทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาด้วย
หลังจากเซ็นสัญญาแฟรนไชส์กันแล้ว ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องใช้เครื่องหมายการค้าและบริการอย่างเคร่งครัด เจ้าของแฟรนไชส์ให้ใช้หรือกำหนดแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น อย่าไปเติมอย่างอื่นเพิ่ม หรือใส่ชื่อ ใส่หน้าตัวเองเข้าไป
ไม่ระบุในสัญญา นำสูตรทำต่อ ไม่ผิด
คุณทักษอร อธิบายแฟรนไชส์อาหารที่ให้สูตรผู้รับสิทธิต่อว่า แฟรนไชส์ที่ให้สูตร หรือ Know-how ส่วนใหญ่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้ทักษะในการประกอบอาชีพ เจ้าของแฟรนไชส์อาจมีเงื่อนไขบังคับมากขึ้น เช่น หากเลิกทำแฟรนไชส์ ต้องไม่ทำธุรกิจแบบเดียวกันในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งข้อบังคับทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญาแฟรนไชส์ด้วย
เจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์ต้องระบุรายละเอียดข้อบังคับและเงื่อนไขในสัญญาแฟรนไชส์ให้ชัดเจน ครอบคลุม รัดกุม ให้คนซื้อแฟรนไชส์ไปเปิดมีสิทธิ์ใช้ได้แค่ไหน หรืออาจจะมีเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น หากหมดสัญญาจะใช้ชื่อธุรกิจแอบอ้างไม่ได้ หรือ ห้ามนำสูตร และ Know-how ของทางแบรนด์แฟรนไชส์ไปใช้ต่อ และต้องไม่ทำธุรกิจในลักษณะเดียวกันด้วย
กรณีถ้าผู้ซื้อแฟรนไชส์ที่ได้รับสูตร หรือ Know-how ไป หากหมดสัญญา แล้วไม่ต่อสัญญา แต่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังนำสูตรนั้นไปปรับปรุงเพื่อขายต่อ แต่ในสัญญาแฟรนไชส์ไม่ได้ระบุเงื่อนไขห้ามนำไปใช้หรือปรับปรุงเอาไว้ตั้งแต่แรก ถือว่าผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ผิด เจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์ไม่สามารถฟ้องร้องเขาได้
เจ้าของแบรนด์ไม่มีความรู้ เหมือนเอาเปรียบผู้ซื้อแฟรนไชส์
เมื่อถามกรณีแฟรนไชส์ลูกชิ้นเชฟเจ้าดัง คุณทักษอร ให้ความเห็นว่า ก่อนทำแฟรนไชส์ต้องมีความรู้เรื่องแฟรนไชส์ ไม่เช่นนั้นจะเขียนสัญญาแฟรนไชส์และคู่มือการทำแฟรนไชส์ไม่ได้ ซึ่งจริงๆ การทำแฟรนไชส์หัวใจสำคัญอยู่ที่สัญญาแฟรนไชส์ กรณีแฟรนไชส์อาหารสัญญาแฟรนไชส์จะต้องควบคุมถึงวิธีการทำ วัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบ และบางครั้งแฟรนไชส์ซอร์จะมีการส่งวัตถุดิบไปให้แฟรนไชส์ซีด้วยซ้ำ เพื่อควบคุมคุณภาพมาตรฐานเหมือนกับต้นตำรับ
“กรณีไม่ทำสัญญาแฟรนไชส์ แต่เป็นสัญญาปากเปล่าก็จะเกิดปัญหาขึ้น ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างขายไป ปกติการทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่แท้จริง สัญญาแฟรนไชส์ต้องควบคุมทุกเรื่อง ตั้งแต่การใช้เครื่องหมายการค้า การผลิต การขาย รูปลักษณ์ หน้าตาของร้าน ราคาขาย ต้องลงรายละเอียดถึงขั้นนั้น” คุณทักษอร กล่าว
คุณทักษอร อธิบายกรณีแฟรนไชส์ลูกชิ้นเชฟดังไม่มีความรู้เรื่องแฟรนไชส์ เลยเกิดปัญหาขึ้น คือ ถ้าคุณจะทำธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องมีความรู้เรื่องแฟรนไชส์ ถ้าไม่มีความรู้ เรื่องสัญญาแฟรนไชส์คุณจะเขียนอย่างไร ถ้าอยากหาความรู้เพิ่มเติมมาติดต่อที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ ถ้าขายแบบไม่มีความรู้ แบบเชฟดัง ก็เหมือนเป็นการเอาเปรียบผู้ซื้อแฟรนไชส์
การทำแฟรนไชส์ที่แท้จริง ต้องมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และจดทะเบียนอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าและบริการด้วย ถ้าไม่มีการจดทะเบียนถือเป็นการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าแบบไม่สมบูรณ์ เหมือนเป็นการอนุญาตใช้เครื่องหมายการค้าแบบเถื่อนๆ ถ้าแฟรนไชส์ซอร์จะฟ้องร้องถือว่าเสียเปรียบมากๆ
ต้องรู้อะไร! ก่อนขายแฟรนไชส์
- ตรวจสอบรายละเอียดตราสินค้าหรือแบรนด์ว่าไม่ซ้ำกับใคร
- จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและบริการ เพื่อคุ้มครองสิทธิ์
- จดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าและบริการ
- จัดทำสัญญาแฟรนไชส์ระบุขอบเขต สิทธิต่างๆ หน้าที่แฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีทุกอย่างให้ชัดเจน
- จดสิทธิบัตร (Patent )ต้องเป็นสูตรใหม่จริงๆ เปิดเผยวิธีการทำ ครั้งแรกทำยาก พอทำเสร็จ คนอื่นทำตามได้ มีอายุคุ้มครอง 20 ปี นับตั้งแต่วันขอรับสิทธิบัตร
จดอนุสิทธิบัตร (Petty Patent) ลดขั้นมาจากสิทธิบัตร ถ้าของไม่ล้ำมาก แต่เป็นสิ่งใหม่ จะคุ้มครองได้ มีอายุคุ้มครอง 6 ปี ต่ออายุได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี รวมแล้วไม่เกิน 10 ปี
- ความลับทางการค้า (Trade secret) อะไรที่คนอื่นไม่รู้แล้วเก็บเป็นความลับ เลียนแบบได้ยาก คือทรัพย์สินทางปัญญา คุ้มครองง่าย ถ้ารักษาให้เป็นความลับ ไม่สามารถจดทะเบียนได้
“หัวใจสำคัญของธุรกิจแฟรนไชส์ เจ้าของแฟรนไชส์ต้องควบคุมคุณภาพให้เหมือนต้นตำรับ ไม่เช่นนั้นเวลาคนเอาไปทำเละเทะ เสียชื่อเสียง สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่เจ้าของแฟรนไชส์ อยากจะขายแต่ไม่มีการควบคุมมาตรฐาน มันเป็นไปไม่ได้”
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
โฆษณา