22 เม.ย. เวลา 02:00 • ธุรกิจ

"ยาดม" ธุรกิจรวยเงียบ สร้างมูลค่า 4,500 ล้านบาท 💰

ยาหอม ยาดม ยาอม ยาหม่อง ธุรกิจที่มาเงียบ ๆ แต่รายได้เหยียบหลักพันล้าน! แถมยังเป็นอีก Soft Power ของเมืองไทยแบบ Thailand Only ที่ชาวต่างชาติบอกว่า “ชอบมาก”
ถามถึงที่มาของ “ยาดม” ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดคือเมื่อไหร่? รู้แค่ว่าคนไทยนั้นใช้สมุนไพรเป็นยารักษาโรคกันมานาน ถ้านับตามยี่ห้อยาดมเก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยคือ “โป๊ยเซียน” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2479 ถึงตอนนี้อายุรวม 88 ปี
ซึ่งจะว่าไป “ยาดม” ก็ผูกผันอยู่กับชีวิตคนไทยอย่างไม่รู้ตัว และยังถูกบรรจุให้เป็นยาสามัญประจำบ้าน ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขไทย
ตลาดยาดมนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ตอนนี้โตมากและยังโตได้เรื่อย ๆ ถ้าไปดูตัวเลขจะพบว่า
📌ตลาดสมุนไพรไทยมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2569 จะสูงถึง 59,500 ล้านบาท
📌ตลาดยาดมในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท
📌ยาดมแท่งมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
📌ยาดมแบบกระปุกและผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่น ๆ มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท
และในปัจจุบันลูกค้าของยาดมกลายเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ลูกค้ากลุ่มหลักอายุเฉลี่ย 30-55 ปี มีอยู่ประมาณ 50% ขณะที่มากกว่า 55 ปี คิดเป็น 20% รวมถึงกลุ่มลูกค้าในช่วงอายุอื่น ๆ ด้วย
แน่นอนว่าหากไปดูในเรื่องส่วนแบ่งการตลาดตอนนี้ “โป๊ยเซียน” มาแรงที่สุด แต่แบรนด์อื่นก็พัฒนาสินค้าขึ้นมาได้แรงและมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถ้าลองดูรายได้จะพบว่า
🔶“โป๊ยเซียน” รายได้ในปี 2564 จำนวน 751 ล้านบาท
🔶“เปปเปอร์มินต์ รายได้ในปี 2565 จำนวน 140 ล้านบาท
🔶“ยาดมสมุนไพรหงส์ไทย” รายได้ในปี 2565 จำนวน 39.5 ล้านบาท
ซึ่งในตลาดยาดมจริง ๆ แต่ละบริษัทไม่ได้มีสินค้าแค่เพียง “ยาดม” เท่านั้น แต่ละแบรนด์ก็มีสินค้าหลาย SKU ที่ล้วนแต่มีการพัฒนา+ใส่ไอเดียเพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ และต้องไม่ลืมที่จะรักษากลุ่มลูกค้าเก่าของตัวเองเอาไว้ด้วย
โดยในตลาดตอนนี้มียาดมที่ขายดีอยู่หลายแบรนด์ เราลองยกตัวอย่างมาให้ดู เช่น
✅ยาดมโป๊ยเซียน
✅ยาดมตราถ้วยทองกลิ่นเลมอน
✅SIANG PURE
✅ยาดมสมุนไพรกานพลู
✅Cheraim ยาดมสมุนไพรหลอด
✅Peppermint
✅Vapex ยาดมแก้วิงเวียน
ถ้าวิเคราะห์ในเชิงพฤติกรรม ทำไม “ยาดม” ถึงขายดีแบบไม่มีตกเทรนด์ แถมยังมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้นเรื่อย ๆ พบว่าพฤติกรรมการใช้ยาดมของผู้บริโภคไทย แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ
1.กลุ่ม Heavy users หรือคนติดยาดม โดยเฉลี่ยคนหนึ่งใช้ 1 – 2 หลอดต่อเดือน เช่น คนที่เครียดแล้วหยิบยาดมขึ้นมาดม เพื่อผ่อนคลาย หรือคนขี้เบื่อ เวลารู้สึกเบื่อๆ ก็หยิบยาดมมาใช้ ดังนั้นผู้บริโภคกลุ่มนี้จะพายาดมติดตัวไปด้วยเสมอ ใส่ในกระเป๋าประจำวัน, ในกระเป๋ากางเกง และบางคนยังวางยาดมตามจุดต่างๆ เช่น โต๊ะทำงาน, ห้อง/โซนนั่งเล่น, หัวเตียง, ในรถ
2.กลุ่ม Light users เป็นกลุ่มที่ใช้ในบางโอกาสเท่านั้น เช่น ใช้ยาดมเมื่อมีอาการ เช่น เป็นหวัด คัดจมูก, ซื้อไว้เวลาจะเดินทางไปท่องเที่ยว
1
และข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ยาดมเป็นสินค้าที่เกิดการซื้อซ้ำบ่อยที่สุด สาเหตุมาจากคนส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ยาดมหมดหลอด และทำหายบ่อยครั้ง หรือ ลืมทิ้งไว้ เป็นต้น
ไม่ใช่แค่นั้น เดี๋ยวนี้ “ยาดม” เป็นสินค้าที่ไม่ใช่แค่คนไทยซื้อ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ก็นิยมมาก ยิ่งดันให้ยอดขายของยาดมแต่ละแบรนด์ดีขึ้นชัดเจน นักท่องเที่ยวจาก จีน , เวียดนาม , ญี่ปุ่น คือกลุ่มลูกค้าที่นิยมยาดมเมืองไทยมาก
ถึงขนาดที่ติดอันดับ 10 อันดับแรกของฝากจากเมืองไทยที่นักท่องเที่ยวจะไม่พลาดการซื้อแน่นอน และยอดขายที่ได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาตินี้ก็ช่วยดันให้ยอดขายยาดมในเมืองไทยมีมูลค่าตลาดสูงขึ้น 10-20% กันเลยทีเดียว
ในอดีตตลาดยาดมมี Major Brand ไม่กี่แบรนด์ เช่น โป๊ยเซียน , เซียงเพียวอิ๊ว , เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ , ยาดมท่านเจ้าคุณ ฯลฯ แต่ปัจจุบันมีแบรนด์ยาดม ทั้งแบบหลอดและแบบตลับ-กระปุกมากมายหลากหลายแบรนด์ เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ยิ่งกระตุ้นให้ตลาดยาดมในภาพรวมเติบโตมากขึ้น
รวมถึงความหลากหลายของการกระจายสินค้า ซึ่งนอกจากช่องทางร้านค้า Modern Trade และร้านขายยา ในปัจจุบันยังมีช่องทางออนไลน์เข้ามา ทำให้ยาดมเป็นสินค้าหาซื้อได้ง่าย-สะดวก จึงเข้าถึงผู้บริโภคทุกหนแห่งทั่วประเทศยังไม่นับรวมเรื่องการตลาดที่อัพเกรดกันขึ้นมาชัดเจน ยิ่งมีดาราดังมาช่วยนำเสนอก็ยิ่งตอกย้ำให้ยาดมเมืองไทยเป็นธุรกิจที่รายได้หอมสดชื่นไม่แพ้กลิ่นยาดมกันเลยทีเดียว
#ยาดม #ยาหอม #ยาอม #ยาหม่อง #ของฝาก #สมุนไพร #แฟรนไชส์ #รวมแฟรนไชส์ #ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์
โฆษณา