21 เม.ย. เวลา 13:48 • ความคิดเห็น

เราอาจหลงลืมไปว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้ว

Jimmy Carr นักแสดงตลกชื่อดังชาวอังกฤษวัย 51 ปี เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ Steven Barlett วัย 31 ปีในพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO ว่า
"หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ผมก็ได้ข้อสรุปว่า 'การรู้คุณค่า' (gratitude) น่าจะเป็นคุณธรรมตัวแม่ของคุณธรรมทั้งมวล
และผมขอเดาว่า คุณน่าจะยอมแลกทุกอย่างที่คุณจะมีในครอบครองในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อให้คุณได้กลับมาอายุเท่าตอนนี้ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนตอนนี้
ผมว่ามันเป็นการทดลองทางความคิดที่น่าสนใจดีนะ
1
ลองจินตนาการถึงตัวเองในอีก 30 ปีข้างหน้า และถ้าตอนนั้นคุณมีของวิเศษที่สามารถเสกให้คุณกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเท่าตอนนี้ รู้สึกดีขนาดนี้ และมีอายุเท่าตอนนี้ ผมว่าคุณน่าจะยอมสละสมบัติทางวัตถุทั้งหมดที่คุณมี เพื่อจะได้กลับมานั่งอยู่ตรงนี้
ลองหยุดคิดดูสักครู่ แล้วมันอาจเปลี่ยนความรู้สึกและการกระทำของคุณในวันนี้ก็ได้
ผมคิดว่าพวกเราในโลกตะวันตกกำลังเจ็บป่วยด้วยภาวะ "การมองชีวิตที่ผิดเพี้ยน" (life dysmorphia)
คนไม่น้อยคิดว่าชีวิตของตนนั้นแย่มาก เพราะมนษย์เราคุ้นชินกับชีวิตดีๆ ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
1
ลองคิดดูนะ คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นจนกระทั่งเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
1
เพื่อนคนนึงเคยบอกผมว่า ตอนที่คุณกำลังอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว ให้ลองหยุดนึกดูสักครู่ ว่าไม่มีบุคคลใดที่มีชีวิตอยู่ 100 ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือมีชีวิตน่าอิจฉาแค่ไหน ไม่มีใครเคยได้รับความสุขอันแสนธรรมดาอย่างการอาบน้ำอุ่นจากฝักบัวเลย
1
โลกใบนี้เคยมีมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 1 แสนล้านคน คนในยุคปัจจุบันจัดอยู่ใน Top 1% ในแง่ของคุณภาพชีวิต เรามีอาหารให้กินโดยแทบไม่เคยต้องกังวล ลูกหลานของเราไม่เสียชีวิตในขวบปีแรก เรามีการแพทย์สมัยใหม่ เรามีความบันเทิงให้เลือกเสพมากมาย
เรามีชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่าเจ้าหญิงและเจ้าชาย และแม้ว่าคุณภาพชีวิตของเราจะดีกว่ายุคก่อนอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ความรู้สึกทางจิตใจของเรากลับย่ำแย่"
1
-----
Jimmy Carr พูดถึงความโชคดีในสองระดับ
หนึ่งคือความโชคดีทางอายุ สองคือความโชคดีของยุคสมัย
เริ่มจากความโชคดีทางอายุก่อน
เราเองถูกสังคมคาดหวังให้ "สร้างอนาคต" ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้พัฒนาตนเองเพื่อที่จะสุขสบายในวันข้างหน้า
แต่เมื่อเลยวัย 40 มาแล้ว ผมเริ่มคิดว่า "ภาพฝันของอนาคต" มันเป็นเหมือนมิราจกลางทะเลทราย ที่ล่อหลอกให้เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีอยู่จริง
ผมเคยเขียนบทความ "วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง" หลังจากได้นั่งพูดคุยกับ "พี่อ้น" วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผมในโครงการ IMET MAX
พี่อ้นบอกว่าวัยสี่สิบคือช่วงที่ดี เพราะเรามีประสบการณ์มากพอ ยังมีกำลังวังชา ลูกยังฟังเราอยู่ คนรอบตัวยังไม่เจ็บไม่ตาย นี่คือช่วงชีวิตที่เราสามารถทำอะไรได้อย่างเต็มที่
จะว่าไป วัยสี่สิบกว่านี่อาจจะเป็น "ช่วงพีคสุด" ของชีวิตแล้วก็ได้ เพราะแม้ร่างกายจะเริ่มโรยราแต่ก็ยังดูแลตัวเองและคนรอบข้างไหว หน้าที่การงานก็ยังมีความก้าวหน้าและมีความหวังว่ามันจะยังไปต่อได้อีก
2
ถ้าเราไม่หัดพอใจในปัจจุบัน เพียงเพราะภาพฝันในอนาคตมันดีกว่าตอนนี้ เราก็อาจจะผ่านพ้นช่วงที่ดีที่สุดไปโดยได้แต่กลับมานั่งเสียดายภายหลัง
4
อีก 30 ปีข้างหน้า คงยังไม่มีของวิเศษชิ้นใดที่จะพาเรากลับมาอยู่ในร่างกายแบบตอนนี้ได้ ดังนั้นจงเห็นคุณค่าของวัยหนุ่มสาวและใช้มันให้เต็มที่ในการสร้างอนาคตโดยไม่ละเลยที่จะมีความสุขในวันนี้ด้วย
1
-----
ส่วนความโชคดีของยุคสมัย Jimmy Carr ยกตัวอย่างการมีน้ำอุ่นให้ใช้ ซึ่งอากาศร้อนแบบนี้คนไทยคงไม่อิน ผมเลยลองไปค้นข้อมูลว่าคนไทยเริ่มมีแอร์ใช้เมื่อไหร่ ก็พบว่าเมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้วนี้เอง
แค่เทียบกับสมัยที่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรายังหนุ่มสาว ชีวิตเราก็สุขสบายกว่าในหลายมิติแล้ว อยากหาข้อมูลก็ไม่ต้องเข้าห้องสมุด อยากเดินทางไปไหนก็ไม่ต้องกลัวหลง ทำงานได้จากทุกที่ ทางเลือกในการหาเลี้ยงชีพก็เปิดกว้าง ขนาดมีโรคระบาดหนักไปทั่วโลก มนุษยชาติก็ยังผ่านมันมาได้ไวกว่าที่คิด ถ้าเกิดโรคระบาดระดับเดียวกันเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผมว่า Homo Sapiens อาจถึงขั้นสูญพันธุ์เลยด้วยซ้ำ
1
ยิ่งถ้าย้อนกลับไปเทียบกับชีวิตเจ้าหญิงเจ้าชายเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ต่อให้ภาพจำจากในหนังจะสวยงามเพียงใด เพียงแค่คิดว่าสมัยนั้นเขาไม่มีส้วมและน้ำประปาให้ใช้เหมือนตอนนี้ ก็รู้สึกว่าอยู่ยากแล้ว
1
แน่นอนว่ายุคนี้ก็มีปัญหาที่คนยุคก่อนไม่เคยต้องเจอ ทั้งเรื่องโลกร้อนและภูมิรัฐศาสตร์อันผันผวน แต่ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ในยุคนี้แล้วก็ต้องปรับตัวและเดินหน้ากันต่อไป
1
การตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหน ทั้งในแง่อายุและยุคสมัย จึงไม่ใช่การปลอบประโลมหรือหลอกตัวเอง แต่เป็นการมองให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเคยมองข้ามมาโดยตลอด เพื่อจะได้ตระหนักว่าเรามีทรัพยากรอะไรให้หยิบใช้บ้าง
3
ชีวิตตอนนี้คือชีวิตที่ดีที่สุด และสิ่งเดียวที่เราทำได้ คือทำมันให้ดีที่สุดครับตามกำลังที่เรามีครับ
1
โฆษณา