1 พ.ค. เวลา 11:40 • ธุรกิจ

เส้นทางชีวิต Jamie Dimon พนักงานแบงก์ ใหญ่สุดในโลก ค่าจ้างปีละ 1,300 ล้าน

เวลาพูดถึง JPMorgan Chase ธนาคารใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา ก็มักจะมีชื่อของคุณ Jamie Dimon มาคู่กันเสมอ
ในระยะเวลาเกือบ 20 ปี คุณ Dimon ได้ทำให้
- มูลค่าสินทรัพย์ของ JPMorgan เติบโต 223%
- มูลค่าบริษัทของ JPMorgan เติบโต 301%
- กำไรของ JPMorgan เติบโต 463%
ด้วยผลงานนี้ แน่นอนว่าค่าตอบแทนของคุณ Dimon ต้องสูงมาก โดยในปี 2023 ค่าตอบแทนทั้งหมดอยู่ที่ 1,330 ล้านบาท
1
แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนจะประสบความสำเร็จในฐานะ CEO ของ JPMorgan คุณ Dimon เคยถูกไล่ออกจาก Citigroup มาก่อน..
1
เส้นทางชีวิตของพนักงานแบงก์ ที่ได้ค่าจ้างปีละ 1,330 ล้านบาท จะน่าสนใจมากแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณ Jamie Dimon เกิดเมื่อปี 1956 ในครอบครัวอเมริกันเชื้อสายกรีก ที่มีฐานะดี เพราะทั้งคุณปู่และคุณพ่อทำงานสายการเงินทั้งคู่
1
สมัยเรียนปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยา ที่ Tufts University คุณ Dimon เลือกเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับดีลธุรกิจของคุณ Sandy Weill ที่คุณ Dimon นับถือเหมือนเป็นพ่ออีกคน
1
หลังเรียนจบและทำงานไปได้ 2 ปี คุณ Dimon ก็ตัดสินใจเรียนต่อ MBA ที่ Harvard Business School
ผลการเรียนของคุณ Dimon ดีมาก คะแนนติด Top 5% แรก เลยมีหลายบริษัทดังเสนอตำแหน่งงานให้ทั้ง Goldman Sachs, Lehman Brothers และ Morgan Stanley
2
แต่คุณ Dimon ก็ปฏิเสธทุกที่ และเลือกทำงานที่ American Express ทั้งที่ได้เงินเดือนน้อยกว่ามาก
1
ซึ่งนั่นเป็นเพราะคุณ Weill ทำงานอยู่ที่นั่น โดยคุณ Weill รับประกันว่าคุณ Dimon จะได้รับประสบการณ์เยอะกว่าที่อื่นแน่นอน
1
ต่อมาทั้งคู่ก็ลาออกจาก American Express ไปทำงานที่ Commercial Credit และสร้างผลงานโดดเด่นจำนวนมาก
หนึ่งในนั้นคือ การควบรวมครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการเงิน ในปี 1998 ที่รวมกันจนเกิดเป็น Citigroup หนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่สุดของสหรัฐอเมริกา ในตอนนั้น
1
แต่ในปีเดียวกันนั้น เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อคุณ Weill ซึ่งเป็น CEO ของ Citigroup ได้ไล่คุณ Dimon ออก..
1
ตอนนั้นไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไม
และมีข่าวลือไปต่าง ๆ นานา
แต่หลังจากนั้นอีกหลายปี คุณ Weill ก็ออกมาบอกว่าเป็นเพราะคุณ Dimon อยากเป็น CEO แต่ตัวคุณ Weill เองก็ยังไม่ได้อยากเกษียณ เลยต้องทำแบบนั้น
3
ส่วนคุณ Dimon ที่ถูกไล่ออก ก็ใช้เวลาช่วงว่างงานไปกับการต่อยมวย และอ่านหนังสือผู้นำที่เจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
3
จนในปี 2000 คุณ Dimon ก็ได้งานใหม่เป็น CEO ที่ Bank One ธนาคารที่มีจุดเริ่มต้นในชิคาโก
1
ภายใต้การบริหารของคุณ Dimon ราคาหุ้นของ Bank One เพิ่มขึ้นมา 59% ในระยะเวลา 4 ปี หรือมากกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกันถึง 3 เท่า
1
จุดเปลี่ยนของคุณ Dimon เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2004
ตอนนั้น JPMorgan Chase ก็ได้ซื้อกิจการ Bank One และให้คุณ Dimon เป็น COO หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ของ JPMorgan
1
ในปี 2006 คุณ Dimon ก็ขึ้นเป็น CEO ของ JPMorgan ตามที่เขาเคยใฝ่ฝัน
และเป็นทั้งประธานบริษัทควบกับตำแหน่ง CEO ในปี 2007
1
แต่แล้ว พอมาทำงานที่ JPMorgan ได้ไม่นาน คุณ Dimon ก็ต้องเจอกับ วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ที่ทำให้สถาบันการเงินใหญ่ ๆ หลายแห่งล้มละลาย..
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า เส้นทางชีวิตของคุณ Dimon แย่เหลือเกิน ทุกครั้งที่กำลังไปได้ดี ก็มักจะมีปัญหาเกิดขึ้นตลอด
แต่ตัวคุณ Dimon เอง ไม่ได้มองแบบนั้น เขากลับมองว่า วิกฤติครั้งนี้คือ “โอกาส”
สิ่งที่เขาทำในตอนนั้นคือ เข้าซื้อบริษัทการเงินที่กำลังจะล้มละลาย แต่เห็นว่ามีศักยภาพมากพอ ที่จะรอดพ้นวิกฤติ และเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่า เขาสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก
1
แล้วตั้งแต่วันนั้น JPMorgan เป็นอย่างไร ?
ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2024
- มูลค่าสินทรัพย์ของ JPMorgan
เติบโต 223% มาอยู่ที่ 143 ล้านล้านบาท
- มูลค่าบริษัทของ JPMorgan
เติบโต 301% มาอยู่ที่ 20 ล้านล้านบาท
- กำไรของ JPMorgan
เติบโต 463% มาอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท
ด้วยมูลค่าขนาดนี้ ทำให้ JPMorgan กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา ในแง่ของสินทรัพย์ และใหญ่สุดในโลก ในแง่ของมูลค่าบริษัท
ด้วยความสามารถของคุณ Dimon ทำให้ค่าจ้างของเขา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ที่ 1,330 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 111 ล้านบาท
โดยค่าจ้างปี 2023 ของคุณ Dimon แบ่งเป็น
- เงินเดือน 55 ล้านบาท
- ค่าตอบแทนตามผลงาน 1,275 ล้านบาท ที่แบ่งเป็นเงินสด 185 ล้านบาท และที่เหลือเป็น Stock Option
1
โดย Stock Option ก็คือ การให้สิทธิ์ซื้อหุ้นของบริษัทกับพนักงาน ในราคาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาตลาด
เพื่อที่จะจูงใจให้พนักงานสร้างการเติบโตและทำงานอยู่กับบริษัทนานขึ้น
1
ส่วนในมุมของ CEO ระดับโลก ที่ได้ค่าตอบแทนจำนวนมาก ก็จะจ่ายภาษีได้น้อยลง และเลื่อนเวลาจ่ายภาษีออกไป
คือเสียแค่ภาษี Capital Gain จากส่วนต่างราคาหุ้น ที่อัตรา 20% และถ้ายังไม่ขาย ก็ไม่ต้องเสียภาษี นั่นเอง
2
ในขณะที่หากรับเป็นเงินเดือน จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราที่สูงกว่านั้น
2
อย่างในปี 2023 จากฐานรายได้ 240 ล้านบาท ที่นับแค่เงินเดือนและค่าตอบแทนตามผลงานที่เป็นเงินสด คุณ Dimon ต้องจ่ายภาษีให้กับ
1
- รัฐบาลกลาง ในอัตราภาษี 36.25% เท่ากับ 87 ล้านบาท
- รัฐนิวยอร์ก ในอัตราภาษี 8.8% เท่ากับ 21 ล้านบาท
รวมเป็นภาษี 108 ล้านบาท หรือก็คือ 45% ของรายได้ที่ได้รับเป็นเงินสดทั้งหมด
1
ซึ่งหากคำนวณแบบเดียวกัน ถ้าคุณ Dimon รับค่าตอบแทนตามผลงานเป็นเงินสดทั้งหมด โดยไม่มี Stock Option เลย
คุณ Dimon จะต้องจ่ายภาษีในอัตรา 47% ของเงิน 1,330 ล้านบาท หรือเท่ากับเงิน 625 ล้านบาท เลยทีเดียว ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีของ Capital Gain มาก
1
แต่ที่น่าสนใจกว่าค่าจ้างในแต่ละปีที่คุณ Dimon ได้รับ
ก็คือความมั่งคั่งของคุณ Dimon ที่สะสมมาตลอดช่วงเวลาการทำงานของเขา
โดยตอนนี้ เขามีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 81,500 ล้านบาท
ใครจะไปคิดว่า อาชีพพนักงานแบงก์ จะสามารถสร้างตัวจนเป็นมหาเศรษฐีระดับหลายหมื่นล้านบาทได้..
1
โดยความมั่งคั่งหลัก ๆ ของเขา ก็มาจากพอร์ตหุ้น JPMorgan ที่เขาถืออยู่จำนวน 7.7 ล้านหุ้น (หลังจากทยอยขายบางส่วนไป) คิดเป็นมูลค่า 56,800 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้คุณ Dimon ก็ไม่เคยขายหุ้นออกมาเลย แต่มาเริ่มทยอยขายเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมานี้เอง
คุณ Dimon วางแผนขายหุ้นทั้งหมด 1 ล้านหุ้น โดยให้เหตุผลเรื่องการกระจายการลงทุน และการวางแผนเรื่องภาษีในอนาคต
นับตั้งแต่คุณ Dimon รับตำแหน่ง CEO ในปี 2006 ราคาหุ้น JPMorgan เพิ่มขึ้นมา 386% ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของคุณ Dimon เอง
2
แม้แต่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา
ยังเคยบอกว่าคุณ Jamie Dimon คือหนึ่งในพนักงานแบงก์ที่ฉลาดที่สุด ที่สหรัฐอเมริกามีมา..
โฆษณา