[ลงทุนแมน] วงการเพลง K-POP มีมูลค่าเท่าไร? / โดย ลงทุนแมน ช่วงนี้ลงทุนแมนติดตาม ลิซ่าวง BLACKPINK จึงเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่า วงการเพลง K-POP จริงๆ แล้วใหญ่ขนาดไหน? เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างไร ลงทุนแ

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

ลงทุนแมน

ยืนยันแล้ว

•

21 ม.ค. 2019 เวลา 11:40 • ธุรกิจ

วงการเพลง K-POP มีมูลค่าเท่าไร? / โดย ลงทุนแมน

ช่วงนี้ลงทุนแมนติดตาม ลิซ่าวง BLACKPINK

จึงเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่า

วงการเพลง K-POP จริงๆ แล้วใหญ่ขนาดไหน?

เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างไร

ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ตอนนี้กระแสความนิยมในวัฒนธรรมเกาหลี ไม่ใช่มีแค่ในประเทศไทย แต่รวมไปถึงในระดับโลก

วัฒนธรรมเกาหลี เริ่มเป็นที่แพร่หลาย มาตั้งแต่ช่วงปี 1999

สาเหตุสำคัญคือเทคโนโลยีการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต

ทำให้ เพลง หรือ ละครซีรีส์ ที่เราดูนั้น ไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศอีกต่อไป

ประเทศไหนทำได้ดี

ก็มีโอกาสทำให้เกิดความนิยมในประเทศอื่นได้

และ เกาหลีใต้ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตเพลง และ ซีรีส์ ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลเกาหลีใต้ เห็นพลังของกระแสดังกล่าว

โดยมีการประเมินว่า การส่งออกสินค้าวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้น 100 บาท ช่วยต่อยอดให้การส่งออกสินค้าหลัก เช่น อาหาร, เครื่องสำอาง, อุปกรณ์ไอที เพิ่มขึ้นถึง 412 บาท

รัฐบาลจึงมีนโยบายสนับสนุนสินค้าวัฒนธรรมอย่างเต็มที่..

นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ มองว่าการส่งออกวัฒนธรรม ยังเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรอง และความน่าเชื่อถือของประเทศ ในด้าน Soft Side ซึ่งน่าจะยั่งยืนมากกว่า แบบ Hard Side เช่น การสะสมอาวุธ หรือกำลังทหาร ที่ประเทศอื่นๆ มักใช้

ซึ่งหนึ่งในอาวุธทางวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพมาก คืออุตสาหกรรมเพลง หรือ K-POP นั่นเอง

แล้วปัจจุบันวงการเพลง K-POP มีมูลค่าเท่าไร?

บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับวงการเพลงของเกาหลีใต้นั้น จะทำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยลงทุนฝึกฝนนักร้อง, เป็นเอเจนต์, ผลิตผลงานเพลง, ผลิตสื่อ, จัดกิจกรรมคอนเสิร์ต รวมไปถึงขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้อง

มีการประเมินว่า ปัจจุบันตลาดเพลง K-POP โดยรวมมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ค่ายศิลปินยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้นั้น ประกอบไปด้วย 3 บริษัท ได้แก่

1. SM Entertainment ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1995 หรือ 24 ปีที่แล้ว โดยนาย ลีซูมาน ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 31,000 ล้านบาท

ศิลปินชื่อดังในสังกัดที่ผ่านมา เช่น ดงบังชินกิ, Super Junior, EXO, Girls’ Generation, Red Velvet

ปี 2016 รายได้ 9,900 ล้านบาท กำไร 103 ล้านบาท

ปี 2017 รายได้ 10,300 ล้านบาท กำไร 122 ล้านบาท

SM ถือเป็นค่ายใหญ่ที่สุดของวงการ สามารถปั้นกลุ่มนักร้องให้โด่งดังมาได้ ทุกยุคทุกสมัย โดยล่าสุดได้พยายามขยายตลาดไปประเทศจีน ที่น่าสนใจคือ Alibaba ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัทนี้ด้วยมูลค่า 950 ล้านบาท

2. YG Entertainment ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 หรือ 23 ปีที่แล้ว โดยนาย ยางฮยอนซอก ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่า 23,000 ล้านบาท

ศิลปินชื่อดังในสังกัดที่ผ่านมา เช่น 2NE1, BIGBANG, PSY, BLACKPINK

ปี 2016 รายได้ 9,100 ล้านบาท กำไร 530 ล้านบาท

ปี 2017 รายได้ 9,900 ล้านบาท กำไร 503 ล้านบาท

YG ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของ K-POP ในระดับสากลก็ว่าได้ เพราะบริษัทนี้เป็นต้นสังกัดของ PSY เจ้าของเพลง Gangnam Style ที่คนส่วนใหญ่ น่าจะรู้จัก ปัจจุบัน MV มียอดวิวบน YouTube กว่า 3,200 ล้านวิว

ด้วยเหตุนี้ จึงมีบริษัทใหญ่ๆ สนใจเข้ามาลงทุนใน YG เช่น Louis Vuitton ซื้อหุ้นไป 2,500 ล้านบาท ส่วน Tencent บริษัทจีน ก็ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 4.5%

3. JYP Entertainment ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 หรือ 22 ปีที่แล้ว โดยนาย ปาร์คจินยอง ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่า 29,000 ล้านบาท

ศิลปินชื่อดังในสังกัดที่ผ่านมา เช่น Rain, Wonder Girls, 2PM, TWICE, GOT7

ปี 2016 รายได้ 2,100 ล้านบาท กำไร 240 ล้านบาท

ปี 2017 รายได้ 2,900 ล้านบาท กำไร 460 ล้านบาท

JYP ถือเป็นรายต้นๆ ที่ปั้นนักร้องดังไปในหลายประเทศ อย่างกรณีของ Wonder Girls ที่ไม่ว่าใครก็ต้องร้องท่อนฮุกเพลง Nobody ได้ในขณะนั้น

เมื่อลองเปรียบเทียบกับวงการเพลงไทย

บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท

ปี 2017 มีรายได้รวม 8,861 ล้านบาท มาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับเพลง 2,963 ล้านบาท

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมูลค่าตลาด 15,000 ล้านบาท

ปี 2017 มีรายได้รวม 3,501 ล้านบาท มาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับเพลง 255 ล้านบาท

จะเห็นได้ชัดเจนว่า บริษัทค่ายเพลงของเกาหลีใต้นั้น มีรายได้และมูลค่าตลาดใหญ่กว่า บริษัทของไทย อยู่หลายเท่าตัว

สิ่งที่น่าสนใจคือ บริษัท K-POP เหล่านี้เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่นาน เมื่อเทียบกับบริษัทของไทย

SM Entertainment 24 ปี

YG Entertainment 23 ปี

JYP Entertainment 22 ปี

บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ 36 ปี

บริษัท อาร์เอส 43 ปี

อะไรคือความแตกต่างของบริษัทไทย และ บริษัทเกาหลี

ดูเหมือนคำตอบของเรื่องนี้ก็คือตลาด

ตลาดสำหรับบริษัทไทยอาจจะเป็นแค่คนในประเทศ

แต่ตลาดสำหรับบริษัทเกาหลีคือ คนทั้งโลก..

แน่นอนว่าปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญอย่างแรก คือ คุณภาพของศิลปิน และการสร้างสรรค์ผลงานเพลง ให้ตรงกับความต้องการของตลาด

บริษัทต่างๆ มีวิธีการสร้างวงนักร้องขึ้นมาอย่างเป็นระบบ โดยจะคัดเลือกและลงทุนเพื่อฝึกฝนทักษะที่จำเป็นอย่างจริงจังตั้งแต่เด็ก

ทั้งนี้มีการประเมินว่า ต้นทุนในการปั้นนักร้องหนึ่งคน ของบริษัท SM อยู่ที่เกือบ 100 ล้านบาท

นั่นทำให้ K-POP มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ การร้องประสาน และการเต้นที่พร้อมเพรียง

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกยุคนี้ คือ การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ในแง่ตัวเพลง มีการตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงใส่เนื้อร้องที่เป็นภาษาอังกฤษ สอดแทรกเข้าไป เพื่อให้คนต่างชาติ สามารถเข้าใจความหมายของเพลงได้ แม้ไม่ต้องรู้ภาษาเกาหลี เช่น เพลง Nobody หรือ Gangnam Style

มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ เพลงเกาหลีที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อ 25 ปีที่แล้ว มีเพียงแค่ 8% ของตลาด แต่ปัจจุบัน แทบทุกเพลง จะใช้ชื่อภาษาอังกฤษ

ในแง่ของนักร้อง

หลายบริษัทมีกลยุทธ์ ให้มีสมาชิกวงเป็นคนต่างชาติด้วย เช่น วงบอยแบนด์ EXO ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ก็มีสมาชิกคนจีนอยู่ด้วย หรือคนไทย ที่เป็นสมาชิกในหลายวง ไม่ว่าจะเป็น นิชคุณ (2PM), ลิซ่า (BLACKPINK), แบมแบม (GOT7) เป็นต้น

พอเป็นแบบนี้วงเกาหลีก็จะเป็นเรื่องที่จับต้องได้ ไม่ไกลเกินตัวของแต่ละประเทศอีกต่อไป..

นอกจากนี้แล้ว

K-POP ยังเชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ และ โซเชียลมีเดียสมัยใหม่

MV และการแสดงของนักร้องเกาหลีใต้ ถือเป็นกลุ่มวิดีโอที่ได้รับความนิยมลำดับต้นๆ บน YouTube

Channel ของบริษัท SM มีจำนวนสมาชิกถึง 17 ล้านราย ที่น่าสนใจคือ 90% ไม่ใช่คนเกาหลีใต้

เรื่องราวทั้งหมดนี้ทำให้เราได้เห็นว่า

โลกเรากำลังแคบลงเรื่อยๆ

พรมแดนระหว่างประเทศกำลังจะหายไป

ไม่เว้นแม้แต่เรื่องศิลปิน

ในตอนนี้ดารานักร้องไม่ได้มีแค่คู่แข่งในประเทศ

แต่กลับกลายเป็นผู้คนทั่วทั้งโลก..

ใครทำได้ดีก็มีโอกาสประสบความสำเร็จแบบคาดไม่ถึง