25 พ.ย. 2019 เวลา 15:11 • ไลฟ์สไตล์
MovieTalk: เฉียด...ชะตาสยอง ของ มูฟวี่
บทความชิ้นนี้ไม่ใช่ชื่อหนังของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน นะครับ แต่เกิดขึ้นจากช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมป่วยและต้องลากสังขารตัวเองไปโรงพยาบาล ลางาน นอนพักฟื้นหลายวัน ซึ่งโดยปกติ ผมไม่ใช่คนที่จะเจ็บป่วยอะไรกับใครนัก
ระหว่างที่นอนป่วยเลยได้มีเวลาทบทวนตัวเอง อีกทั้งได้คุยกับพี่บี เพจให้เพลงพาไป ผมเลยนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง ก่อนจะมาลงเอยที่ว่าผมเคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาบ่อยมาก ๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงทุกวันนี้
ต้องออกตัวก่อนว่า มันเป็นเหตุการณ์เฉียดตายส่วนตัว ที่อยากนำมาแชร์กับทุกคนนะครับ
1
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่หนึ่ง
แม่เล่าให้ผมฟังว่า ผมเคยเกือบตายตั้งแต่ตอนแม่คลอด เพราะแม่หมดแรงเบ่ง ผมก็ยังไม่ออกมา สุดท้ายหมอต้องตัดสินใจคีบศรีษะผมออกมา ซึ่งมันส่งผลข้างเคียงในวัยเด็ก ผมจะมีอาการปวดหัวรุนแรงมาก ถ้าปวดหัวเมื่อไรเป็นต้องนอนฟุบ แม้จะเรียนอยู่จะไม่สามารถเรียนต่อไปได้ ต้องไปนอน แม่พาผมไปรักษาอยู่สิบปีกว่าจะหายเกือบเป็นปกติ
เฉียด...ขะตาสยอง ครั้งที่สอง
แม่เล่าว่า ตอนนั้นผมเริ่มหัดคลานได้แล้ว คุณตารักผมมาก ท่านเลยเอาผมไปเลี้ยงที่ชั้นสองของบ้านตา แล้วตาก็เผลอหลับไป ผมก็เลยคลานไปเรื่อย ๆ จนถึงบันได แล้วก็กลิ้งตกบันไดจากขั้นบทสุดลงมาทีละขั้น ทีละขั้น ตอนนั้นทุกคนเห็นแต่เข้าไปไม่ทันแล้ว พ่อเล่าว่าเห็นภาพผมกลิ้งลงมาทีละชั้น หัวใจพ่อแทบจะขาดใจตาย แต่เมื่อผมกลิ้งมาถึงพื้น ผมก็คลานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นพ่อคิดว่าผมคงพิการหรือถึงแก่ชีวิตไปแล้ว
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่สาม
เกิดขึ้นตอนประมาณป. 5 หรือ ป.6 เราย้ายมาปลูกบ้านใหม่ และย้ายเข้าไปอยู่ทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จ ผมลงมาเข้าห้องน้ำ และจะขึ้นไปนอนต่อข้างบน ก็เอื้อมมือไปปิดสวิทซ์ไฟที่ยังเดินสายไม่เสร็จ ผมเลยถูกไฟฟ้าดูดอย่างแรง โชคดีที่ความรุนแรงของไฟฟ้าช๊อตมันทำให้ผมกระเด็นออกมาจากปลั๊กไฟ แต่ผมก็นอนช็อคอยู่ตรงนั้นสามชั่วโมง จนพ่อลงมาตามถึงได้รู้ว่าลูกชายถูกไฟฟ้าดูด พ่อกับแม่พาไปโรงพยาบาล แม้ผมจะรอดมาได้ แต่เนื้อบางส่วนบริเวณนิ้วโป้งของผมส่วนหนึ่งถูกไฟฟ้าทำลายไปไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทดแทนได้
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่สี่
ช่วงหลังงานรับปริญญา ผมเกิดอาการป่วยขึ้นมา ไข้สูง แม่พาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าผมเป็นไข้เลือดออก ถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะไม่รอด ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปหาหมอเพราะ ไม่มีเงินครับ ตอนนั้นพ่อเสียไปแล้ว ผมก็ยังตกงาน มีแค่เงินประทังชีวิต แม่เลยต้องไปหยิบยืมคนอื่นมาจ่ายเป็นค่ารักษา
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่ห้า
ผมเกิดอาการป่วยขึ้นมา รู้สึกคล้ายบ้านหมุน ไม่สามารถทรงตัวได้ ควบคุมการเคลื่อนไหว แขนขา และการทรงตัวไม่ได้ แต่ผมก็ต้องพยายามลากสักขารไปโรงพยาบาล หลังจากเข้ารักษาตัว และใช้เวลาวินิจฉัยโรคอยู่นานก็ยังหาไม่เจอ X-Ray ก็ไม่เจอ CT Scan ก็แล้ว สุดท้ายหมอส่งไป MRI นอกสถานที่ บริเวณสมองของผม หมอถึงได้พบว่า ผมมีอาการเส้นเลือดสมองขอดบริเวณก้านท้ายทอย ซึ่งเป็นส่วนระบบประสาทการทรงตัว ส่วนสาเหตุมันเกิดจากไวรัสหวัดที่เข้าไปในร่างกาย แล้วร่างกายทำลายไวรัสนั้น พร้อม ๆ กับทำลายเซลประสาทผมบางส่วน ไม่มีทางรักษา ต้องให้ร่างกายฟื้นฟูด้วยตัวเอง ผมใช้เวลารักษาอยู่เกือบปี ตอนนั้นมีปัญหาคือ สายตาผมจะมองเห็นทุกอย่างมีสองสิ่งเหลื่อมซ้อนกันอยู่ นั่นเพราะเซลประสาทตาถูกทำให้ผิดเพี้ยน เวลาผมทำงานหรือจะโฟกัสอะไร ผมต้องหลับตาข้างหนึ่งเพื่อหาโฟกัสที่ถูกต้อง ช่วงนั้นขับรถไม่ได้ ขึ้นรถเมล์ก็ลำบากต้องหลับตาข้างหนึ่งดูว่าสายอะไรมา ราวจับคืออันไหน ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสทีเดียว
2
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่หก
ผมป่วยอีกครั้ง ไปรพ.แถวบ้าน หมอก็แสนดี เล่น Facebook ไป ถามไถ่อาการผมไปก่อนได้ข้อสรุปว่าผมป่วยทอลซินอักเสบ ให้ยามาทาน แต่คืนนั้นผมไข้ขึ้นสูงมาก จนเช้ามืด ผมก็ต้องลากสังขารไปปากซอย เรียกแท็กซีไปรพ.วิชัยยุทธ หมอเจาะเลือดไปตรวจ แล้วก็ขอตรวจไข้หวัดใหญ่ด้วย ก็แจ็กพ็อต ผมเป็นไข้หวัดใหญ่ H1N1 ดีว่ามาทันเลยให้วัคซีนต้านได้ ผมก็เลยรอดมาได้อีกครั้ง
เฉียด...ชะตาสยอง ครั้งที่เจ็ด
นี่คือครั้งที่หนักสุดของผมเลย ระหว่างผมข้ามถนน และผมก็ข้ามแล้วครึ่งถนน แต่รถเมล์ก็ตามมาเฉี่ยวผม ทับเท้าผมทั้งสองข้าง จนผมลงไปนอนกองกลางถนน ผมใช้แรงเฮือกสุดท้าย ดึงตัวเองลากขาที่เจ็บจนยากบรรยายข้ามมาถึงอีกฝั่ง เพราะถ้าผมนอนต่อตรงนั้น ผมโดนรถอีกฝั่งทับตายแน่ คนขับรถเมล์ถูกตำรวจตรงสี่แยกจับ แล้ววิทยุเรียกรถพยาบาลมา ง่ามเท้าผมฉีกจนต้องเย็บเดี๋ยวนั้น เท้าผมทั้งสองข้างไม่สามารถยันพื้นได้ และผมก็ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ต้องใช้ไม้ค้ำทั้งสองข้าง หมอบอกว่าโชคดีที่รถเมล์วิ่งเร็วมาก มันทับเท้าผม แต่กระดูกผมไม่หัก ผมโชคดีไม่ต้องถูกตัดขาทั้งสองข้าง แต่ไขกระดูกที่อยู่ภายในกระดูกผมอักเสบ ต้องให้ร่างกายสมานตัวเอง ผมเลยเดินไปไม่ได้นานปีกว่า และก็กลับมาเดินได้ไม่เหมือนเดิม เรียกว่าเดินขากระเผลกไปนานหลายปี แต่ผมก็พยายามกายภาพตัวเอง ทุกวันนี้ก็กลับมาแข็งแรงเหมือนไม่เคยถูกรถเมล์ชน สามารถวิ่งมินิฮาล์ฟมาราธอนได้ ส่วนผลข้างเคียงจนทุกวันนี้คือ ผมไม่สามารถพับนิ้วเท้าเพื่อคุกเข่าไหว้พระได้เหมือนคนปกติ
นี่คือประสบการณ์เฉียด...ชะตาสยอง ของผม จนพรรคพวกเพื่อนฝูงหาว่าผมเป็นพวกเดดพูล เป็นอมตะ ก็ว่าไปนั่น
ผมมานั่งทบทวน ผมเชื่อว่าที่ผมสามารถผ่านความตายมาได้ รวมไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ในชีวิต และกลับมาได้ทุกครั้ง อาจเพราะผมมีภาระหน้าที่ต้องดูแลแม่ ดูแลน้า ความกตัญญูต่อแม่ และการพยายามประพฤติตนเป็นคนดี ช่วยเหลือผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คงส่งผลให้มันผ่อนหนักให้เบาลง ผ่อนกรรมเก่าผมที่รุนแรงทุกครั้งให้บรรเทาลง
ผมจึงอยากบอกกับทุกท่านว่า ขอให้ทุกท่านตั้งมั่นกับการทำความดี ไม่ใช่เพราะทำดีแล้วต้องได้ดี เพราะคนเราเกิดมาโดยมีกรรมเก่าเป็นเครื่องกำหนด เราสะสมความดีเพื่อเป็นต้นทุนบุญของเรา เพราะไม่มีใครรู้ชะตาชีวิตตนเองจะเป็นอย่างไร ในวินาทีถัดไป
และถ้าพ่อแม่ยังอยู่ หมั่นตอบแทนพระคุณท่านสุดกำลังความสามารถของเราเถอะครับ มันเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างแท้จริง
หวังว่าเรื่องส่วนตัวของผมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ
เรื่อง/ภาพ: มูฟวี่
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: newscaststudio.com, One Chicago Center, Pobpad
โฆษณา