Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังหลายมิติ
•
ติดตาม
22 เม.ย. 2020 เวลา 02:45 • ความคิดเห็น
เปิดตัวตนแอดมินหนังหลายมิติ :
แอดมินเพจหนังกับหน้าต่างสี่บานของโจแฮรี่
ภาคภาคีผู้ติดตามครบ 8,000 คน #It's me challenge
ดังที่ธานอสได้กล่าวไว้ว่า " ข้าคือชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง "
ทำให้อัญมณีทั้ง 6 และ เกราะเพชรเจ็ดสีในกายข้า ร้อนรุ่ม !!!
เมื่อเภทภัยมาเยือนด้วยวิกฤตของ " It's me challenge"จากพยาบาลวิชาชีพอิสระ ทำให้ผู้ต้องมนต์สองท่านนาม " Indy Man " และ " Hotel Mania " ได้สาปคาถาสะกดใจใส่ข้า
" อิมเปริโอ !!! " ทันทีที่พวกเขาร่ายคาถา ข้าก็ตกอยู่ใต้อาณัติของพวกเขา
พวกเขาได้กลายร่างเป็น " คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ? " ในขณะที่ข้า ยังคงเป็นบุรุษในห้องแห่งความลับ และด้วยผลของคาถาสะกดใจ ทำให้วันนี้ความลับของข้ากำลังจะถูกเปิดเผย
แต่ก่อนที่จะรู้เรื่องของข้า พวกเจ้าต้องเรียนรู้บางส่วนของวิชา " มักเกิ้ลศึกษา " เสียก่อน ข้าจะให้เจ้าได้รู้จักกับ" หน้าต่างสี่บานของโจแฮรี่ "
มันคือของวิเศษที่มักเกิ้ล 2 คน คือ โจเซฟ ลุฟท์ (Joseph Luft) และ แฮร์รี อิงแกรม (Harry Ingram)คิดค้นขึ้น หน้าต่างนี้มีความพิเศษคือ มันจะสะท้อนสิ่งที่เจ้าเป็น และ บ่งบอกระดับความสัมพันธ์ของเจ้ากับผู้อื่น
โดยแต่ละบานมีหน้าที่ ดังนี้
- หน้าต่างบานที่หนึ่ง : เรารู้ เขารู้ มันคือ หน้าต่างสาธารณะที่เรารู้ คนอื่นก็รู้ หมายถึง เรื่องอะไรก็ตามที่เราเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ เช่น เป็นผู้ชาย , ผู้หญิง ชื่ออะไร ? อายุเท่าไหร่ ?
- หน้าต่างบานที่สอง : เรารู้ เขาไม่รู้ มันคือ หน้าต่างแห่งความลับ หมายถึงเรื่องที่เราปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้ เปรียบได้กับการเอาตนเอง ไปแอบไว้กับผ้าคลุมล่องหน มักเกิ้ลทุกคนล้วนมีหน้าต่างบานนี้ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่บุคคล
หน้าต่างสองบานนี้ คือหน้าต่างที่ว่าด้วยพื้นที่ส่วนตัวและความสัมพันธ์
มันคือหน้าต่างที่บอกว่าเราควรจะเปิดเผยตัวตนต่อผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน ?
หน้าต่างสาธารณะคือ สิ่งที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจตัวเรามากขึ้น ส่วน หน้าต่างความลับ คือ สิ่งที่เราสงวนไว้เฉพาะเพื่อตนเอง โดยธรรมชาติแล้ว มักเกิ้ลจะรู้สึกเปิดเผย ผ่อนคลาย เมื่อได้อยู่กับคนที่คุนเคย พวกเขาจะมอบพื้นที่สาธารณะให้กับคนเหล่านั้นมากเป็นพิเศษ
.
.
ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาก็จะมีความลับ มีความเป็นส่วนตัวซ่อนอยู่
" สาธารณะ " กับ " ความลับ "เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับหน้าต่างสองบานนี้อย่างเหมาะสม ไม่มากไปจนขาดความเป็นส่วนตัว และไม่น้อยไปจนกลายเป็นคนลึกลับ ไร้ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
-หน้าต่างบานที่สาม : เราไม่รู้ คนอื่นรู้ มันคือ ข้อบกพร่องของตัวเรา เรามักจะมองไม่เห็นข้อเสียของตนเอง จึงต้องอาศัยผู้อื่นช่วยแนะนำและชี้จุดบกพร่องนั้น เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
-หน้าต่างบานสุดท้าย : เราไม่รู้ เขาไม่รู้ มันคือส่วนของแดนสนธยาที่เรียกว่า " ศักยภาพ " เราไม่มีทางรู้ว่าศักยภาพแท้จริงของเรามีมากแค่ไหน ? จนกว่าจะได้ใช้มันอย่างเต็มที่
นอกจะเราจะไม่รู้แล้ว คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน
พวกเขาอาจจะบอกกับเราว่า " ทำไม่ได้ " หรือ " ยากเกินไป " แต่นั่นไม่ใช่เครื่องตัดสินว่าเราจะทำไม่ได้ เพราะ " ศักยภาพ "ในตัวเรามีมากกว่าที่เราคิด ขอเพียงไม่ดูถูกตัวเอง พร้อมที่จะเรียนรู้ และ ลงมือทำ เราก็จะพบ "ศักยภาพ " ที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
หน้าต่างสองบานนี้ เป็นหน้าต่างเพื่อการค้นพบและพัฒนาตนเอง
ต่อจากนี้...ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าสู่ดินแดนสาธารณะของข้า และเมื่อทางเข้าอยู่ที่หน้าต่างโจแฮรี่ เราจึงต้องบินเข้าไป พร้อมแล้วนะ จับไม้กวาดของเจ้าให้ดีๆ
(มีเวลา 5 นาที ไปหาไม้กวาดมาขี่ซะ !!!)
... ปรับโหมดการรับรู้ให้พร้อม แล้วก็ออกบินกันเลย ...
ฟิ้ว . . . . ! ! !
ต่อไปนี้ขอใช้ภาษามักเกิ้ลนะ ...จะได้เป็นกันเองมากขึ้น
ทำความรู้จักกันหน่อย
ผมคือ แอดมินเพจหนังหลายมิติ ชายอายุ 39 ปี ผู้มีใจรักในการดูหนัง
สถานภาพปัจจุบัน : โสดสนิท ศิษย์ส่ายหน้า
ชีวิตของผมเกี่ยวข้องกับหนังมาตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งชื่อเล่นยังชื่อ " ตั้ม " เหมือนพระเอกเรื่องวัยอลวนเลย ที่ได้ชื่อนี้เพราะแม่ชอบหนังเรื่อง " วัยอลวน "มาก จึงตั้งชื่อเหมือนพระเอกในเรื่อง
.
เด็กที่เกิดในยุคผมส่วนใหญ่ เลยมีชื่อซ้ำๆกันว่า" ตั้ม " หรือไม่ก็ " โอ๋ " ตามชื่อของพระเอกและนางเอกเรื่อง " วัยอลวน "นั่นเอง จะว่าไปก็แอบอิจฉาเด็กยุคนี้เหมือนกัน มีชื่อเล่นเก๋ๆให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น " กูเกิ้ล" "เฌอแตม " " เจเจ " " จัสมิน " หรือ " ซีซาร์ " (เพราะๆทั้งนั้น)
การศึกษา :
ผมเข้าเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ (ที่เดียวกับลุงตู่เลย... )
ด้วยความที่ชอบการ์ตูนและรักการวาดภาพจึงเข้าเรียนสายศิลป์-คำนวณ เอกศิลปะ (ที่นี่เลือกสายการเรียนเฉพาะทางได้) ที่เรียนสายนี้เพราะอยากจะเป็นมัณฑนากร และชอบวาดรูป การเรียนห้องศิลป์ ทำให้ได้เรียนวิชาศิลปะถึงสัปดาห์ละ 4 คาบ
(วาดภาพ 2 คาบ ทฤษฎีศิลป์และประวัติศาสตร์ศิลป์ อีก 2 คาบ)
แต่ใครจะรู้อนาคตล่ะ...
จากเด็ก ม.ต้น ที่เรียนเลขได้ เกรดหนึ่ง เกรดสอง มาตลอด พอมา ม.ปลายกับหลงใหลวิชาคำนวณจนได้แต่เกรดสาม เกรดสี่
ทั้งที่อุตส่าห์ไปติวPerspective และเรียนวาดเส้นมาแล้ว แต่เส้นทางชีวิตก็พลิกผัน อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า เราชอบวาดรูป ... แล้วต้องเรียนวาดรูปด้วยหรือ ? เรียนอะไรก็วาดรูปได้ แต่วิชาเลข ... ถ้าเราไม่เรียน เราอาจต้องทิ้งไปเลย จากนั้นความฝันก็เปลี่ยน ... เราจะเรียนคณะอะไรก็ได้ที่มีวิชาเลข
(ถ้าเรียนวิทย์-คณิต คงได้เข้าวิศวะไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
จุดเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นตอน ม.6 เทอม 1 ผมเรียนแคลคูลัสแล้วชอบมาก เลยเดินไปถามอาจารย์แนะแนวว่า
" ผมชอบเรียนเลข ควรเลือกคณะอะไรดีครับ ? "
และการตัดสินใจช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ก็ทำให้ผมได้มาเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ มศว และจบสาชาเชิงปริมาณ ในอีก 4 ปีต่อมา
เศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณ คือ สาขาที่ว่าด้วยการวิเคราะห์และจัดสรรทรัพยากรโดยใช้ตัวเลขและสถิติเป็นเครื่องมือหลัก
.
.
ดังนั้นก็อย่าแปลกใจที่เนื้อหาของบทความหลายๆตอนจะเกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ ตัวเลข และ สถิติ เพราะจริงๆแล้วมันคือความชอบส่วนตัวของผมครับ
หลังเรียนจบ ... ผมทำงานอิสระอยู่พักหนึ่ง ( สอนพิเศษวิชาเลข , เศรษฐศาสตร์ และรับจัดกิจกรรม)
จนมีรุ่นพี่มาชวนผมไปทำงานในบริษัททำเวบไซด์แห่งหนึ่ง
ซึ่งงานในตำแหน่งแรกของผม ก็คือ เจ้าหน้าที่ประสานงานในกองบรรณาธิการเวบไซด์
แม้โดยตำแหน่ง ผมจะรับหน้าที่เป็น " เจ้าหน้าที่ประสานงาน " แต่ในเนื้องานจริงๆ ผมต้องเขียนบทความลงคอลัมน์บนเวบไซด์ด้วย
ที่นี่จึงเป็นเหมือนโรงเรียนสอนเขียนบทความสำหรับผม โดยมีพี่ตี๋ บรรณาธิการใหญ่ ทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน พี่ตี๋จะตรวจทานและเกลาสำนวนการเขียนให้ " มือใหม่หัดเขียน " อย่างผมอยู่เสมอ บอกได้เลยว่า ส่งต้นฉบับให้พี่ตี๋ทีไร ตอนได้กลับมาต้องมีรอยขีด ฆ่า ลบ แก้ อยู่เต็มไปหมด
หลังทำงานประจำครบหนึ่งปี ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด
เหตุเพราะผมเลือกที่จะทำงานประจำในช่วงวันจันทร์ ถึง ศุกร์ และรับงานพิเศษในวัน เสาร์ , อาทิตย์
บอกตามตรง ช่วงนั้นเหนื่อยมากครับ เพราะงานที่ผมรับทำในวันเสาร์ , อาทิตย์นั้น เป็นงานจัดกิจกรรม Team Building
.
.
ทำไปทำมา เพื่อนที่ทำด้วยกันก็หางานมาให้บ่อยจนต้องลางานที่บริษัทหลายครั้ง(ช่วงใกล้ออก) ผมไม่ได้อยากลางานหรอกครับ แต่เพื่อนที่รับงานดันหาคนทำกิจกรรมไม่ได้ ผมจึงต้องหยุดงานไปช่วย เมื่อเป็นแบบนี้บ่อยเข้า ผมจึงตัดสินใจลาออกและหันมาทำงานกิจกรรมเต็มตัว
รับงานเองบ้าง ช่วยงานคนอื่นบ้าง ผมทำงานฟรีแลนซ์แบบนี้อยู่นานกว่าสิบปี
จนในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อน เป็นบริษัทรับจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อการสร้างทีม เปิดมาจนถึงตอนนี้ก็ 7 ปี แล้วครับ .... ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายเป็นอย่างมาก แต่ผมก็เชื่อว่าจะผ่านมันไปได้
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็มีหนึ่งเรื่องที่จะสารภาพกับทุกคน คือ ผมทำเพจทิ้งไว้อีกหนึ่งเพจ ชื่อว่า " เล่นเป็นทีม " มีบางท่านที่ติดตามเพจนี้ ได้เคยไปทักทายผมที่เพจนั้นด้วยแต่ผมก็ไม่ได้แสดงตัว
เพราะความตั้งใจแรกของผม คือ ผมอยากจะทำเพจนั้นให้มีคนติดตามโดยไม่อาศัยใบบุญของเพจหนังหลายมิติเลย เนื่องจากเนื้อหามันเฉพาะกลุ่มมากๆ .... และที่สำคัญ คือ ผมไม่ได้สนุกเหมือนกับการเขียนเรื่องหนัง
ช่วงหลังๆเลยไม่ได้ลงบทความเพิ่มเติม ก็ปล่อยมันเหี่ยวเฉาแบบนั้นละกันครับ (ว่างๆอารมณ์ครื้มๆ จะกลับไปเขียนต่อครับ 555)
blockdit.com
เล่นเป็นทีม
125 followers. ความรู้เกี่ยวกับการใช้กิจกรรมสร้างทีม เริ่มจากพื้นฐานจนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง จากประสบการณ์ตรง 15 ปี ในการเป็นผู้นำกิจกรรมสร้างทีม
ลักษณะนิสัยส่วนตัว :
แม้ว่างานของผม จะต้องพบปะพูดคุยกับคนมากมาย แต่จริงๆแล้วผมชอบอยู่คนเดียวมาก ไม่ใช่คนมีโลกส่วนตัวสูงนะครับ ... ผมสามารถเข้าสังคม เฮฮาได้ปกติ แต่ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ผมมักจะใช้เวลาในวันหยุดไปกับการนอนอืดดูหนังอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่
(เพราะงานหลักที่ทำต้องเดินทางตลอดเวลา)
ทำไมถึงชอบดูหนัง ?
คงเพราะที่บ้านอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ แล้วลูกพี่ลูกน้องคนนึงของผมดันเป็นคนขายหนังอาร์ต หนังอินดี้
เขาเริ่มขายตอนผมเรียนอยู่ม.ปลาย ผมได้ดูหนังที่เขาขายหลายเรื่องทีเดียว เลยชอบดูหนังมาตั้งแต่ตอนนั้น บอกก่อนว่ายุคนั้นหนังประเภทนี้หาดูค่อนข้างยาก เพราะไม่มีฉายตามโรงหนังทั่วไป ใครอยากดูต้องไปซื้อแผ่นซีดีที่ " ร้านแว่น " จตุจักร (นับเป็นร้านในตำนานของคอหนังอินดี้ในยุคนั้น)
ต้องขอบคุณความเร็วอินเตอร์เน็ตยุคนี้ ที่ทำให้มวลมนุษยชาติมีแอพดูหนังแบบสตรีมมิ่งที่สะดวกและรวดเร็วมาก
นี่คือจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งในชีวิตผม แม้จุดที่เกิดขึ้น จะดูสะเปะสะปะมั่วซั่วไปสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เชื่อมหากันจนกลายมาเป็นเส้นที่เชื่อมเส้นทางสู่เพจ " หนังหลายมิติ "ในวันนี้
วันนี้เพจหนังหลายมิติ ได้เดินทางมาถึงหลักกิโลที่ 8 แล้ว
ผมขอใช้บทความนี้แทนคำขอบคุณผู้ติดตามทั้ง 8,000 คน ที่ให้การสนับสนุนเพจด้วยดีเสมอมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดหน้าต่างสาธารณะของผมในครั้งนี้ จะทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ผมเปิดหน้าให้เห็นแล้ว >>>ต่อไปนี้ก็หยุดนินทา และเลิกสงสัยว่าผมคือ " ณเดช คุ๊กกี้มั้ยจ๊ะ " กันเสียที
ถึงผมจะหล่อแต่ผมไม่ใช่ " ณเดช " แน่นอนครับ
จบนะครับ....ขอตัวไปกินยาก่อน คุณหมอเรียกพอดี
" เอกซ์เปกโต พาโตรนุม " (คาถาผู้พิทักษ์) อยู่เป็นผู้พิทักษ์เพจผมไปนานๆนะครับ รักหนังหลายมิติน้อยๆแต่รักนานๆก็พอครับ
.
.
สวัสดี
หมายเหตุส่งท้าย : ขอส่ง challengeนี้ให้ " หมูแว่น " แอดมินเพจ " หนังสือหนังหามาเล่า " ช่วงนี้เหมือนน้องจะหายไป .... ใครก็ได้ช่วยตามมาที : )
4 บันทึก
56
111
5
4
56
111
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย