28 เม.ย. 2020 เวลา 13:30 • ความคิดเห็น
It's me challenge : เรื่องของหมูๆ (แว่น)
...
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ปีพุทธศักราช 2563 เวลา 00.58 น. พี่ตั้มแห่งเพจหนังหลายมิติ ได้เข้ามาเคาะประตูเรียก “หมูแว่นๆ พี่มีซาเล้งมาฝากน้อง”
...
ผมรีบเปิดประตูผัวะออกไป เมื่อสมองสั่งการมาว่า ‘สิ่งที่มากับซาเล้งนั้น มักเป็นของกินเสมอ’ มือหนึ่งหิ้วโค้กซีโร่ส่วนมืออีกข้างหยิบอาวุธประจำกายอย่างช้อนและส้อม พร้อมรบกับของกินที่รอผมอยู่
...
แต่แล้วสิ่งที่ตั้งอยู่บนซาเล้งคือแผ่นป้ายสามเหลี่ยมตั้งโต๊ะอยู่หนึ่งแท่น ใจตอนนั้นเริ่มหวั่นใจ หรือว่าพี่ตั้มจะมาในเวอร์ชั่น ‘หนังหลายมิติจำแลง’
...
พี่เขากำลังจำแลงกายเป็นพี่กุ๊กไก่แห่งเพจเรื่องสั้น ผู้ชอบเขียนเรื่องหักมุมคนนั้น?
...
หรือจริงๆ แล้วเรื่องราวหักมุมกำลังคืบคลานเข้ามาหาผมกันแน่นะ?
...
เมื่อตอนจบผมจะกลายเป็น ‘หมูหัน’ (ของกิน) เสียเอง
...
เลือกลงช่วงค่ำ เผื่อมีคนหิวมาเห็นภาพนี้นี่แหละ ฮ่าๆ
“แถ่น แท้นแท้น” พี่ต้มร้องขึ้น พร้อมผายมือไปที่ป้ายสามเหลี่ยมบนซาเล้ง
...
ผมเพ่งสายตามองลอดแว่นเพื่ออ่านข้อความดังกล่าว ‘พี่มีซาเล้ง (challenge) ภารกิจนึงให้หมูแว่นนะ’
...
ซาเล้งนั้นมีชื่อว่า ‘It's me challenge’ หรือที่แปลว่า “นี่เค้าเองน๊าซาเล้ง”
...
เห็นชื่อ challenge แว่บแรกแล้ว ทำเอาผมหวนนึกถึงนักมวยปล้ำคนหนึ่ง ที่นำคำว่า ‘It's me’ มาประกอบในเพลงเปิดตัวให้กับตัวเอง เขามีชื่อว่า Diamond Dallas Page หรือชื่อคุ้นหูอย่าง DDP
...
ซึ่งผมขอน้อมรับ challenge ที่พี่ตั้มส่งต่อมาให้นี้ด้วยความเต็มใจ
...
ขอขอบคุณพี่ตั้มแห่งเพจหนังหลายมิติไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...ที่ไม่หักมุมจับผมไปทำหมูหันในตอนจบ ฮ่าๆ
...
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอเชิญทุกท่านพบกับเรื่องของหมูๆ คร๊าบ
...
1. แนะนำตัวกันก่อนเลย
...
“ฉันชื่ออลิซ เคยทํางานให้กับบริษัทอัมเบรลล่าคอมเปอร์เรชั่น…………….”
...
“ไม่ใช่ๆ หมูแว่น” เสียงปริศนาดังแว่วเข้ามาในหูเพื่อดึงสติ
...
โอเคๆ เอาใหม่...ผมนายหมูแว่นแห่งเพจหนังสือหนังหามาเล่าครับ เป็นบุรุษเพศ อายุอานามก็ 31 ปี ซึ่งตัวเลขนี้ผมรับตรงมาจากโรงงานเลย ผมพอจะลดให้พวกพี่แบบคนกันเองได้อยู่นะครับ
...
ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อหมูแว่นนี้ เป็นชื่อที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวแทนบนโลก Blockdit แห่งนี้ครับ
...
แรกเริ่มเดิมที จะตั้งว่า ‘หนูแว่น’ แต่เกรงว่าพวกพี่ๆ จะรู้สึกจั๊กจี้กันตรงบริเวณร่องนิ้วมือ จึงจัดการให้ น.หนู เปลี่ยนจากการนั่งไขว่ห้างด้านขวา ให้มานั่งไขว่ห้างทางซ้ายแทน
...
จาก น.หนู จึงกลายเป็น ม.ม้า ในบันดล และก็ได้ชื่อหมูแว่นจวบจนปัจจุบันนี้ครับ
...
ส่วนชื่อเล่นจริงๆ ของผมคือ คำภาษาอังกฤษที่แปลว่าเด็กผู้ชาย ครับ
...
สถานะปัจจุบัน : ก็โสดโสดอยู่ทางนี้ ยังโสดโสด อยากเอารักมาโหลดโหลด ใครกันหนอที่ฟ้ามาโปรด ฟ้ามาโปรด
...
2. หมูตัวนี้อุปนิสัยเป็นเยี่ยงไร?
...
วอลเตอร์ มิสเชล (Walter Mischel) นักจิตวิทยาด้านทฤษฎีบุคลิกภาพและจิตวิทยาสังคมกล่าวไว้ว่า “คนเราไม่ได้มีลักษณะนิสัยจริงๆ” หากนิยามของคำว่าลักษณะนิสัยนั้นหมายถึง คนเราจะมีลักษณะนิสัยแบบเดียวนั้นตลอดเวลาอ่ะนะครับ
...
คำกล่าวของคุณมิสเชลตรงกับอุปนิสัยของผมเลยครับ ซึ่งตัวผมเองได้แบ่งนิสัยออกเป็น 2 ด้านคือ
...
1. นิสัยที่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยหน้าที่การงาน และ
...
2. นิสัยที่กำเนิดขึ้นโดยตัวผมเอง
...
ปัจจุบันผมทำงานเป็นผู้ประสานงานด้านการฝึกอบรมในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง แม้หน้าที่หลักๆ คือการประสานงาน แต่เนื้อในทำมากกว่าการประสานงานครับ
...
งานฝึกอบรมของผมน่าจะแตกต่างจากงานของคุณตั้มแห่งเพจหนังหลายมิตินิดหน่อย
...
ตรงที่ของผมจะเป็นงานอบรมในรูปแบบวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของคุณตั้มดูแล้วน่าจะเป็นงานอบรมไปทางด้านกิจกรรม (Walk Rally หรือกิจกรรมที่ละลายพฤติกรรม) เป็นหลัก (นะครับ?)
...
แต่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นงานฝึกอบรมประเภทใด สิ่งที่ผมกับคุณตั้มต้องเจอเหมือนๆ กันก็คือ ‘ผู้คน (ผู้เข้าอบรมหรือผู้ร่วมกิจกรรม)’ ที่ผ่านเข้ามามากหน้าหลายตาแทบจะตลอดนั้นเองครับ
...
ซึ่งงานในส่วนนี้ก็หล่อหลอมนิสัยด้านการพูดคุยเก่งและเป็นกันเอง ดูแล้วเป็นคนที่น่าจะเข้าสังคมเก่งอีกคนนึง
...
แต่ในส่วนนิสัยที่กำเนิดขึ้นโดยตัวผมเองนั้น กลับค่อนข้างสวนทางครับ เมื่อไรก็ตามที่ผมมีเวลาให้กับตัวเอง ผมชอบที่จะสันโดษ ทำกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว เช่น เล่นเกม, อ่านหนังสือ รวมไปถึงการดูหนัง
...
เกม Resident Evil 2 Remake จัดเป็นอีกหนึ่งในเกมโปรดของผมเลยครับ
แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดหมกอยู่กับตัวเองแบบคนที่ชอบเก็บตัวนะครับ เพียงแต่หากเลือกได้ ก็ที่จะชอบอยู่คนเดียวมากกว่า
...
แม้นิสัยด้านการงานกับส่วนตัวจะต่างกันคนละขั้ว แต่ทว่ามี 3 อย่างที่คนที่รู้จักผมจะบอกเหมือนๆ กันคือ ‘ใจเย็น’ กับ ‘กวนทีน’ และปิดท้ายด้วย ‘เป็นคนไม่มีหัวใจ’
...
อ้ายเป็นคนใจเย็นกับกวนบาทาน่ะไม่เท่าไร แต่ติดใจเรื่องการเป็นคนไม่มีหัวใจนี่แหละมันมายังไงหว่า? ทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลยครับว่ามันมาได้อย่างไร (ลองถามคนที่รู้จักหลายๆ คน เขาก็ไม่ยอมบอก...เฮ่อ!!!)
...
3. ชอบดูหนังได้ยังไง?
...
น่าจะเริ่มจากการที่พ่อแม่พื้นเพเป็นคนที่ชอบดูหนังกันทั้งคู่ เวลาพวกท่านดูหนัง (จาก VDO) พวกท่านก็จะชวนลูกๆ มาดูด้วยเสมอ
...
แต่ชวนผมกับน้องสาวมาดูเอเลี่ยน (Alien) กับสปีชีส์ (Species) เนี่ยนะ ฮ่าๆ
...
ใช่แล้วครับ...นี่คือหนังสองเรื่องแรกที่ผมได้สัมผัส (เปิดมาก็สยองเลย) และก็ตามมาด้วยมิมิค (Mimic) และพรีเดเตอร์ (Predator)
...
ทำไงได้พวกท่านชอบดูหนังประเภทสัตว์ประหลาดหรือเอเลี่ยน
...
ซึ่งแน่นอนว่าเด็กอย่างผม ยังไม่ถึงกลับหลงรักอะไรในวงการภาพยนตร์ขนาดนั้นหรอก (แหงสิ! แต่ละเรื่องน่ากลัวใช่ย่อยสำหรับเด็กที่บอบบางอย่างผม...ถามว่าดูทั้ง 4 เรื่องจบไหม? ดูจบสิ ฮ่าๆ)
...
แต่หนังที่ทำให้ผมรู้สึกหลงรักหนังและกระเหี้ยนกระหือรือจนอยากจะหาเรื่องอื่นๆ มาดูเพิ่มอีกก็คือ โดดเดี่ยวผู้น่ารัก 3 (Home Alone 3), ยึดนรกป้อมทมิฬ (The Rock), คนเหล็กผ่านิวเคลียร์ (True Lies), ยุทธการยึดเรือนรก (Under Siege) และเลื้อยทะลวง 20,000 โยชน์ (Deep Rising)
...
แต่ถ้าพูดให้ถูกต้องที่สุดเลยก็คือ ผมถูกลุงสตีเวน ซีกัล, อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และนิโคลัส เคจ โบกหัวแล้วลากเข้าสู่โลกแห่งหนังต่างหากเล่า
...
ผมติดตามผลงานของทั้ง 3 คนแบบเกือบครบถ้วนกระบวนความ (ที่ใช้คำว่าเกือบครบ ก็เพราะว่าหลังๆ ทั้งลุงเคจกับลุงซีกัลแกเล่นแต่หนังแผ่น (หนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อลงแผ่นโดยเฉพาะ) ซึ่งผมตามดูไม่ไหวจริงๆ
...
เข้าสู่ช่วงมัธยม (จำไม่ได้ว่าต้นหรือปลาย) สวรรค์ของผมก็ได้กำเนิดขึ้นมาในชื่อว่า ‘ร้านเช่าหนัง’ ครับ
...
ซึ่งผมเป็นสมาชิกอยู่ 2 ร้านได้แก่ ซึทาญ่า (tsutaya) และวีดีโออีซี่ (video ezy)
...
ซึ่งร้านซึทาญ่า จะมีสาขาอยู่ใกล้กับโรงเรียนของผม และร้านวีดีโออีซี่จะมีสาขาอยู่ใกล้ๆ กับบ้านผม
...
นอกจากความสะดวกที่แตกต่างกันแล้ว ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งคือ ร้านซึทาญ่าจะมีหนังให้เลือกเยอะกว่าวีดีโออีซี่ค่อนข้างมาก
...
และแน่นอนว่าผมจะแวะไปไม่ร้านใดร้านหนึ่งทุกวัน ใช่ครับพวกพี่ๆ อ่านไม่ผิด ‘ทุกวัน’ (บางวันก็มันทั้งสองร้านเลย)
...
เป็นช่วงชีวิตที่ผมดูหนังดะไปเรื่อยเหมือนแรมโบ้สาดกระสุนปืนจากปืน MG42 อย่างมีความสุข
...
โดยดูหนังแทบทุกประเภทและไม่สนว่าหนังนั้นจะเป็นเกรดไหนก็ตาม ขอแค่มีแผ่นหนังติดไม้ติดมือกลับมาบ้าน แล้วได้เปิดดูก็พอใจแล้ว
...
และด้วยความที่แวะทุกวัน จนทำให้รู้ว่าหนังใหม่จะออกทุกวันพฤหัสบดี (ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่) นั้นทำให้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี (หลังเลิกเรียน) ผมจะตื่นเต้นมากกับการได้แวะไปร้านเช่าหนังในวันนั้น
...
ส่วนหนังที่ผมเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์เป็นเรื่องแรกก็คือ Godzilla (1998) ครับ
...
ปัจจุบันผมจะชอบเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เสียมากกว่า และชื่นชอบการสะสมแผ่นหนังเป็นหลัก เลยยังไม่มีความสนใจในเรื่องของตลาดช่องสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, iflix หรือ Disney+ อะไรพวกนี้สักเท่าไร (แต่อนาคตนั้นก็ไม่แน่)
...
4. ทำไมถึงชอบจิตวิทยากับปรัชญา?
...
3 เล่มที่ช่วยกรุยทางให้กับเพจหนังสือหนังหามาเล่า
เริ่มมาจากความสงสัยของผมล้วนๆ ผมชอบที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนรอบๆ ตัวครับว่า ‘เขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร? หรือเขาทำแบบนั้นเพื่ออะไร?’
...
เช่น มีครูท่านหนึ่งตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยม เวลาอยู่ในชั้นเรียนครูเขาจะทั้งดุและเข้มงวดมาก มีกฎเฉพาะตัวที่นักเรียนทุกคนต้องยอมรับ แต่เวลานอกห้องเรียนครูเขากับเฟรนลี่กับนักเรียกทุกคนค่อนข้างมาก เจอขยะตกที่ไหนแกก็จะเก็บไปทิ้งเอง ช่วงพักกลางวันหรือช่วงเย็นถ้าแกว่าง แกก็จะมาเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกับนักเรียนคนอื่นๆ แบบเป็นกันเอง (กลุ่มผมเคยโขกหมากรุกกับครูแกด้วย)
...
ลักษณะนิสัยต่างกันสุดขั้วนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่าง?
...
ซึ่งเราก็ได้คำตอบจาก วอลเตอร์ มิสเชล ไปแล้วข้างต้นแล้วครับ
...
แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงเข้าสู่โลกแห่งจิตวิทยาแบบจริงๆ จังๆ ก็หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือซีรี่ย์ ‘ประวัติฆาตกรต่อเนื่อง’ ที่เขียนโดยคุณสรจักร ศิริบริรักษ์ (ซึ่งเล่มที่น่าจะคุ้นหูใครหลายๆ คนก็คือ ‘เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นฆาตกร’)
...
หนังสือซีรี่ย์นี้ให้อะไรหลายๆ อย่างกับผม
...
ประการแรก : คุณสรจักรเล่าประวัติของฆาตกรในรูปแบบของนวนิยายครับ ซึ่งตอนนั้นมันสร้างความแปลกใหม่ให้กับผมมาก เพราะหากเรานึกถึงหนังสือประวัติศาสตร์ เราคงนึกถึงภาคบรรยายที่ชวนง่วงนอน แต่ประวัติเล่มนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลย
...
ประการที่สอง : หนังสือซีรี่ย์นี้จะแฝงความรู้ทั้งด้านอาชญาวิทยาและจิตวิเคราะห์เอาไว้ในคราวเดียว ซึ่งทำให้เรารู้ว่า ‘ฆาตกรเหล่านี้ทำแบบนั้นไปเพราะอะไร และอะไรหล่อหลอมให้เขามาเป็นแบบนี้ได้’ มากขึ้น และในส่วนนี้แหละคือจุดขายของซีรี่ย์ชุดนี้เลยทีเดียว
...
(ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมติดซีรี่ย์ Criminal Minds ไปด้วยช่วงหนึ่ง ฮ่าๆ)
...
ส่วนปรัชญาผมเริ่มมาให้ความสนใจเอาเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เองครับ ที่ผ่านมาผมค่อนข้างอคติกับแวดวงปรัชญา เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจนไม่อยากทำความเข้าใจ
...
จนกระทั่ง ผมได้ลองมาเปิดใจอ่านหนังสือ ‘มนุษย์กับเสรีภาพ : มุมมองทางปรัชญา คานท์, มิลล์, รอลส์’ ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุการณ์ประท้วงที่ฮ่องกง ซึ่งผู้ประท้วงเรียกร้องเสรีภาพ จึงทำให้ผมสงสัยใคร่รู้ว่าจริงๆ แล้วเสรีภาพนั้นคืออะไรกันแน่?
...
และตามมาด้วย ‘ประวัติศาสตร์สายธารแห่งปัญญา’ ซึ่งหากท่านใดสนใจจะลองเข้าสู่โลกของปรัชญาดูสักครั้ง ผมขอแนะนำเล่มนี้เลยครับ เพราะผู้แปลนั้นเก่งมากครับ ทำให้เราสามารถเข้าใจในเรื่องยากๆ ได้ (แต่ไม่ทุกบทนะ ฮ่าๆ)
...
ซึ่งทั้ง 2 ศาสตร์นี้...สามารถที่จะให้คำตอบกับผมได้ว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับคนๆ หนึ่ง หรือกับแนวความคิดของผู้คนในสังคมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร’ นั้นเองครับ
...
และด้วยความชอบในภาพยนตร์ และในเรื่องของจิตวิทยาและปรัชญานี้เอง
...
จึงทำให้ผมตัดสินใจที่จะนำความชอบของตัวเองทั้งสามอย่างนี้ มารวมกันและตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางและชื่อเพจอีกครั้ง
...
โดยอาศัยการศึกษาแนวการเขียนของพี่ตั้มเพจหนังหลายมิติ และแนวการเขียนของเจ้าของนามปากกาผมอยู่ข้างหลังคุณ
...
และพี่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ พี่มูฟแห่งเพจ MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย ที่เข้ามาใช้โล่กัปตันกระทุ้งท้องเพื่อให้ผมหา signature ของตัวเองให้เจอ
...
จาก ‘หมูแว่นกับเรื่องจิตปาถะ’ จึงถือกำเนิดขึ้นเป็น ‘หนังสือหนังหามาเล่า’ มาด้วยประการฉะนี้แล
มาถึงช่วงที่ท้าทายผมแล้วสินะ กับการส่งต่อ It's me challenge ให้กับผู้โชคดีคนต่อไป
...
หลังจากที่ได้ทำการสำรวจโลกกับ National Geographic แล้ว
...
ปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
...
ทั้งพี่บีแห่งเพจให้เพลงพาไป, พี่กุ๊กไก่แห่งเพจเรื่องสั้นๆ, พี่มูฟ, พี่กานต์แห่งเพจเล่าหุ้นให้มันง่าย, พี่อินดี้, พี่ข้าว เพจที่สาวๆ รายล้อม และมีหนุ่มๆ มารุมตอมหึ่งๆ ไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ โดนกันไปถ้วนหน้าแล้วตามระเบียบ
...
และเพจที่หัวกระไดไม่เคยแห้ง เพราะไม่ยอมซ่อมท่อประปาที่แตกเสียทีอย่างคุณพลอย, คุณเป้ย, พี่เพ็ญ และพี่กู๊ด ก็ไม่รอดแล้วเช่นกัน
...
แต่ผมมองเห็นท่านหนึ่ง เขาแอบซุ่มอยู่ในเงามืด มักแอบแวะเวียนไปที่เพจสาวๆ...เขาคนนั้นคือพี่คิดดีแห่งเพจขุนคิดดีนี่เอ๊ง!!!
...
ฉะนั้น & ฉะนี้ ผมจึงของส่งมองซาเล้งนี้ให้แก่พี่คิดดีนะครับพี่ (อิอิ!!!)
...
โฆษณา