16 พ.ค. 2020 เวลา 08:22 • สุขภาพ
EP0 : Prologue
“น้องๆ ยินดีด้วยนะ น้องตกงานแล้วแหละ”
เสียงจากกัลยาณมิตรที่นั่งอยู่ข้างหลังแว่วเข้ามาในขณะช่วงพักเบรคของคอร์สวิปัสสนากรรมฐาน
เนี่ยในข่าวบอกว่าเขาเริ่มทำการปิดผับปิดบาร์และสถานบันเทิงแล้วนะ เราจะเอายังไงต่อละทีนี้
ในใจผมก็คิดว่า เฮ้อ! พี่มาสปอยผมทำไมเนี่ย ผมมาวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกก็กะจะเต็มที่ซะหน่อย อุตส่าห์ปิดมือถือ หยุดโซเชียล ตัดขาดโลกภายนอกแท้ๆ
ถ้าผมได้รู้เรื่องด้วยตัวเองเอาวันสุดท้ายของวันที่ออกจากค่าย ก็น่าจะสนุกตื่นเต้นกว่านี้แท้ๆ แต่ในอีกมุมนึงก็ถือซะว่าเอาน่ะจะได้ทำใจก่อนออกไปเจอโลกแห่งความจริงแบบไม่เหวอ
เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ที่ผมได้เลือกมาเข้าค่ายวิปัสสนาในครั้งนี้ การออกมาเหมือนเจอโลกอีกโลกหนึ่งที่ผู้คนสวมใส่หน้ากาก มีมาตรการ Social Distancing และสภาพเมืองเริ่มเป็นเหมือนเมืองร้าง ที่ห้างและร้านรวงเริ่มปิดตัวลงตามมาตรการความปลอดภัย
ก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวิปัสสนาในใจผมลึกๆคิดจะเปลี่ยนแปลงชีวิตผมอยู่แล้ว ผมเริ่มตะขิดตะขวงใจกับงานของผมซึ่งก็คือการเป็นดีเจเปิดเพลง EDM ในไนท์คลับกลางคืน
ผมเริ่มสะดุดตรงที่ว่าอาชีพเรา มีหน้าที่ที่ต้องทำให้คนมันที่สุด เมาที่สุด สนุกที่สุด เพื่อให้ร้านได้รับความนิยมและยอดขายของทางร้าน
ในทีแรกผมก็คิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ทำอาชีพที่มอบความสุขให้แก่ผู้คนและตัวผมเองก็มีความสุขไปด้วย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมัวเมา ขาดสติ ผิดศีล ผิดธรรม
มันผลิกความรู้สึกในใจว่าสิ่งที่เราทำ มันถูกต้องจริงๆหรอ ทุกครั้งที่ทำงานเป็นการสร้างความสุขที่แท้จริงให้ผู้คนเหล่านั้น หรือเป็นการทำร้ายพวกเขาในทางอ้อมกันแน่
ในคืนสุดท้ายของการปฏิบัติพระอาจารย์ได้แนะนำให้ทุกคนลองใช้การมีความรู้สึกถึงลมหายใจออก รู้สึกการเต้นของหัวใจ แล้วน้อมความรู้สึกปิติ (ผมจำไม่ได้แล้วว่าเค้าเรียกว่าอะไร เจริญมรรค รึเปล่า?ไม่แน่ใจ)
มันเป็นการทำสมาธิที่รวมทั้งสมถะกับวิปัสสนาเอาไว้ด้วยกัน ให้ลองไปทำตอนนอนหลับให้มันหลับไปพร้อมกับการปฎิบัติเลย แล้วเจออะไรค่อยมาคุยกัน
มาถึงที่แล้วก็เอาซะหน่อย ไหนๆก็ไหนๆแล้วคืนนั้นก็ลองทำดู ไม่เสียหาย ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรนะ แต่ในคืนนั้นผมฝัน
ในความฝันผมกลับไปที่สุราษฎร์ธานีบ้านเกิดและกำลังจะไปดูหนังที่โอเดี้ยน (ในโลกแห่งความจริงโรงหนังนี้แห่งนี้ยุบไปกลายเป็นห้างโคลีเซียมไปเป็นสิบปีแล้ว)
พอไปถึงก็ได้ทราบว่าโรงหนังเลิกกิจการแล้ว แล้วผมก็ถามเค้าว่าแล้วเค้าจะทำอะไรต่อครับ คำตอบที่ได้คือ “อ๋อ เปิดร้านขายหมูกระทะครับ”
มันอาจดูตลกๆนะครับความฝัน เป็นฝันเรื่อยเปื่อยตามแบบความฝันปกติ ที่เรามักจะเอาเรื่องนู้นนี้ เรื่องราวในอดีตต่างๆในความทรงจำของเรามายำรวมกัน แต่ความฝันครั้งนี้จู่ๆก็ทำให้ผมฉุดคิดได้อย่างหนึ่งว่า
“ทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะต่างกันสุดขั้วเลยก็ตาม ถ้าเราไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าเราจะต้องเป็นอาชีพนี้ ทำงานแบบนี้ ในท่ามกลางวิกฤติ ผู้ที่ปรับตัวเท่านั้นคือผู้ที่อยู่รอด” อย่างโรงหนังประจำจังหวัด เปลี่ยนเป็นไปขายหมูกระทะก็ยังเป็นไปได้
“แล้วเราเป็นดีเจ ทำไมจะไปทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้วะ” ไม่ว่าจะเป็นอภินิหาร ความบังเอิญ ธรรมะจัดสรร หรืออะไรก็ตามแต่
ความฝันในวันสุดท้ายก่อนจบค่ายวิปัสสนาในรอบนี้ ช่วยส่งเสริมและคอนเฟิร์มความคิด ความตั้งใจของผม
ให้กล้าที่จะออกจากกรอบความคิดว่าเราทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันยาก แต่ทำให้กล้าที่จะลงมือทำดูซักตั้ง ในจังหวะที่โลกนี้กำลังรีเซ็ตระบบใหม่ที่ทุกคนเริ่มต้นใหม่เหมือนๆกัน
การวิปัสสนาครั้งนี้ จากในทีแรกที่ผมคาดหวังไว้แค่การได้ไปเจอของจริง การได้เรียนรู้การทำสมาธิและปฎิบัติอย่างถูกต้อง นอกจากได้เรื่องการมี สติ การดูแลใจแล้ว
ยังได้พบกับคำตอบในใจที่ค้างคา อยู่โดยไม่ต้องถามอะไร เพราะคำตอบนั้นมันอยู่ข้างในของเราตั้งนานแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยเงียบที่จะฟังมันจริงๆ ก็เท่านั้นเอง
ขนาดฝันตลกๆประหลาดๆ เรายังมองให้เป็นเรื่องราวมาสอนชีวิตตัวเองได้ ประสบการณ์ครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “คอร์สปิวัสสนาเปลี่ยนชีวิต” ที่แท้ทรู
จะมีใครมาอ่านถึงตอนนี้หรือเปล่าไม่ทราบ แต่ถ้ามีก็ขอขอบพระคุณทุกท่านด้วยนะครับ ที่อุตส่าห์เสียสละมาอ่านบันทึกนี้ของผม ซึ่งขอออกตัวก่อนว่าผมพึ่งเริ่มต้นหัดเขียนบล็อกแบบนี้ครั้งแรกซะด้วย
หลังจากนี้ผมจะมาเขียนเรื่องราวการผจญภัยของผม ในการปรับตัวกับยุค COVID-19 ครั้งนี้ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมีเรื่องราวสนุกๆ การลองผิดลองถูกที่อยากเล่าอีกหลายเรื่องเลย ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ✌🏾
ตอนต่อไปมาแล้วครับ
โฆษณา