14 มิ.ย. 2020 เวลา 23:49 • ท่องเที่ยว
Road Trip Norway 2019 (23) … Flam: Flambana เส้นทางรถไฟที่ชันและสวยที่สุดในโลก
1
Flam .. ออกเสียงว่า “โฟลม” เป็นเมืองเล็กๆที่มีประชากรแค่ 500 คน
หมู่บ้านฟลัม โอบล้อมด้วยภูเขาสูง ด้านหน้าเป็นเวิ้งน้ำในฟยอร์ดที่ใสสะอาดมากๆ และมีแม่น้ำสายเล็กๆชื่อ Flamselvi ไหลผ่าน .. เมืองนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เคยเสด็จมาประทับเมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปในปี 1907
ชื่อ Flam มีความหมายว่า Little place between steep mountain (ชื่อพยางค์เดียว แต่ความหมายยาว) .. สอดคล้องกับทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านที่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขา Flamsdalen ที่สลับซับซ้อน ธรรมชาติที่สวยงาม ตอนปลายสุดของ ฟยอร์ดปากแม่น้ำฟลัม Aurlandsfjorden ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ Sognefjorden
หมู่บ้านแห่งนี้ มีอาคารบ้านเรือนที่หลังเล็กๆ น่ารัก สร้างจากไม้สีสันสดใสทั้งสีขาว สีแดง สีเหลือง และสีเขียว ให้บรรยากาศที่สดชื่นและเบิกบาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านหุบเขาเข้ามา
Flam ได้ชื่อว่า เป็นเมืองศูนย์กลางของฟยอร์ดที่ยาวและลึกที่สุดในโลก นั่นคือ Sogneford (Sogne แปลว่า พระอาทิตย์) ที่ยาวถึง 204 กิโลเมตร จากทะเลลึกเข้ามาจนถึงแผ่นดิน … เป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลแบบฟยอร์ดที่เปี่ยมเสน่ห์ ซึ่งเป็นลักษณะที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำแข็ง เมื่อครั้งพื้นที่เหล่านี้ยังปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เมื่อเกิดการละลาย และกระเทาะจนมีลักษณะเว้าแหว่งเข้ามาในแผ่นดิน เป็นธรรมชาติที่ดูแล้วงดงามมากมาย
ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความสวยงามของ ฟลัม ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลกเข้ามาทุกปี จนกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้คนที่ต้องการมาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่ยังคงมีความบริสุทธิ์ .. ภูเขาสูง และลำธารสายเล็กๆ .. ความงดงามตามแบบฉบับของนอร์เวย์แท้ๆ ที่คุ้มค่าต่อการใช้เวลาซึมซับความประทับใจผ่านสายตาและเลนส์กล้อง
1
ใครบางคนกล่าวว่า … ขนาดที่เล็กของหมู่บ้านนี้ ทำให้เราสามารถเดินชมได้ไม่ยาก แต่หากอยากจะไปไกลกว่าเขตหมู่บ้าน สามารถที่จะเช่าจักรยานเสือภูเขาเพื่อปั่นไปยังจุดชมวิวอื่นๆบนภูเขาได้
หากต้องการพักค้างคืนที่นี่ เพื่อชื่นชมบรรยากาศที่สวยงามนานๆ สามารถเลือกที่พักเองได้ แต่มีให้เลือกไม่มากและราคาสูงทีเดียว
สถานีรถไฟ Flåm Station (Norwegian: Flåm stasjon)
สถานีรถไฟ Flam ดำเนินการเดินรถโดย Norwegian State Railways .. ตั้งอยู่ห่างจาก หมู่บ้าน Flåm ในเขต Aurland ประเทศ Norway ราว 13 กม. ตัวสถานีรถไฟตั้งอยู่ระหว่าอุโมงค์ Gravahals Tunnel ทางทิศตะวันตก และ Vatnahalsen Tunnel ทางทิศตะวันออก
สถานีรถไฟ Flam เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1908
เราเดินทางมาถึงสถานที่ตั้งของ สถานีรถไฟสาย Flambana ก่อนเวลาพอสมควร … เลยออกเดินสำรวจสถานที่ต่างๆรอบบริเวณ
มีแม่น้ำ ไหลผ่านที่นี่ จึงมีสะพานข้ามน้ำเพื่อเป็นทางเดินไปยังบริเวณด้านใน .. ช่วงที่เราไปเยือนเป็นหน้าร้อน มองเห็นผู้คนหลายคนทั้งผู้ใหญ่และเดด็กต่างกระตือรือร้นที่จะใส่ชุดว่ายน้ำออกมาดำผุด ดำว่ายกันเอกเกริก แม้ว่าน้ำจะเย็นมากในมาตรฐานของคนเมืองร้อนอย่างเรา
มองกว้างออกไป… เห็นมีเรือสำราญลำใหญ่มาแวะจอดด้วย เข้าใจเอาเองว่า นักท่องเที่ยวคงลงจากเรือ เพื่อมานั่งรถไฟสายโรแมนติกชมวิวสวยๆ ที่ใครๆก็บอกว่า กิจกรรมนี้ต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ด้านในมีอาคารอยู่หลายอาคาร … ที่ดึงดูดสายตาได้มาก คือ รถไฟเก่าที่ได้รับการดัดแปลงเป็นภัตตาคาร
อาคารสีสันสดใสหลายอาคาร .. มีส่วนที่เป็น ศูนย์ข้อมูลบริการนักท่องเที่ยว ห้องน้ำ และ Refreshment Rooms
อาคารที่มีสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งเครื่องดื่ม อาหารเบาๆ ของใช้เล็กๆน้อยๆ ของที่ระลึก เสื้อผ้า และสินค้าอื่นๆอีกมากมาย
มีแผงขายอาหาร … ซึ่งแพงมากๆ
รถไฟสายโรแมนติก Flambana
ขบวนรถไฟ Flambana ใช้หัวรถจักรแบบโบราณ ตัวขบวนด้านนอกทาสีเขียว เบาะนั่งด้านในเป็นสีแดง นุ่มสบาย มีหน้าต่างขนาดใหญ่ให้ได้ซึมซับความสวยงามของวิวสองข้างทางอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุที่ไม่มีถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้านฟลัมและสถานีไมร์ดรัล (Myrdal Station) … ดังนั้น ที่จริงแล้วจุดประสงค์การสร้างรถไฟสายนี้คือเพื่อเป็นรถไฟท้องถิ่น เป็นพาหนะชนิดเดียวในการเดินทางขึ้นไป ให้คนพื้นที่เดินทางจากที่ราบขึ้นไปถึงด้านบนเขาได้
ในปัจจุบันเส้นทางรถไฟสายนี้ได้เปลี่ยนเป็นรถไฟนำเที่ยว เป็นรถไฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของนอร์เวย์ โดยเริ่มจากสถานีเมืองวอส (Flam) ที่ระดับความสูงของน้ำทะเล สู่ภูเขาสูงชันของสถานี Myrdal ความยาวราว 20 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 55 นาที
จะจอดให้ผู้โดยสารขึ้น – ลงแค่ที่สถานีต้นทางฟลัมและสถานีปลายทางไมร์ดัลเท่านั้น โดยระหว่างทางจะมีจุดจอดพักชมวิวที่สถานีน้ำตกจอสฟอสเซ่น (Kjosfossen) ประมาณ 10 นาที
จากสถานีฟลัมและสถานีไมร์ดัลมีรถไฟให้บริการตลอดปี ในช่วงฤดูร้อนอาจจะมีรถไฟให้บริการถึง 10 เที่ยวต่อวัน ในขณะที่ช่วงฤดูหนาวอาจมีรถไฟให้บริการเพียง 4 เที่ยวต่อวันเท่านั้น
หากอยากดูวิวภูเขาสีเขียว ต้นไม้ดอกไม้ดูสดชื่นชุ่มฉ่ำ แม่น้ำและน้ำตกมีน้ำเยอะๆ ก็ควรไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม) และฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม)
หากอยากเห็นใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งหุบเขาก็ต้องไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน – เดือนตุลาคม) หรือใครอยากนั่งรถไฟชมวิวสองข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็ต้องไปช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน – เดือนมีนาคม)
1
รถไฟสายนี้ โดยเส้นทางจะตัดเลาะขึ้นสู่ภูเขาที่สูงราว 857 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ใกล้กับฟยอร์ด Aurland ที่มีทิวทัศน์งดงามสุดสายตา
เมื่อออกจากชานชาลา … รถไฟจะพาเราค่อยๆ ไต่ระดับความสูงจากพื้นที่ราบที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 2 เมตร วิ่งเลียบแม่น้ำขึ้นไปจนเห็นวิวเมืองฟลัมได้แบบ 360 องศาเคียงคู่วิวฟยอร์ดที่สวยที่สุดในสแกนดิเนเวีย
เส้นทางรถไฟ สาย Flåm railway จัดว่าเป็น 1 ใน 18 เส้นทางรถไฟที่มีความชันมากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นเส้นทางเดินของรถไฟตามธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในโลก ผ่านเข้าไปในเขตภูเขาสูง และหุบเขาฟลัม (Flåmsdalen valley) …
ระหว่างทาง สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตาและเลนส์กล้อ คือ ทัศนียภาพเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของขุนเขา น้ำตก ลำธาร ที่ตัดกับสีสันของป่าไม้เขียวขจี และภาพของบ้านหลังเล็กๆน่ารักสีสันสดใส รวมถึงทัศนียภาพของฟยอร์ด อย่าง Aurlandsfjord ที่งดงามสุดลูกหูลูกตาตลอดทั้งเส้นทางนั้นสวยงามจริงๆ และภาพหิมะที่ปกคลุมบนยอดเขาบางช่วงนั้น ได้กลิ่นอายของความหนาวเย็นเลยทีเดียว
เส้นทางรถไฟจะผ่านอุโมงค์ ลอดภูเขา จะเห็นสะพานข้ามหุบเขาและแม่น้ำ … เป็นทิวทัศน์ระหว่างทาง ที่น่าตื่นตลึงกับความสวยงามของธรรมชาติ ทั้งภูเขาที่ยังคงมีหิมะขาวปกคลุมอยู่ตรงยอดเขาหุบเขา ป่า ทะเลสาบ .. อยากได้ภาพสวยๆ จึงต้องรู้ทิศทางที่จะยืนเก็บภาพไว้บ้าง
หากเดินทางจากหมู่บ้าน Flam มุ่งหน้าไปยัง Myrdal .. ควรรีบขึ้นรถไฟ เพื่อไปจับจองหาที่นั่งติดหน้าต่างในด้านขวามือของทิศทางที่รถไฟเคลื่อนไปข้างหน้า เพราะเป็นทิศทางที่เราจะสามารถมองเห็นทิวทัศฯที่สวยงามได้มากกว่าทางด้านซ้ายมือ และควรนั่งหันหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับที่รถไฟเคลื่อนไป
ควรจะยืนส่งสายตามองไปข้างหน้าพอประมาณ เพื่อให้เรารู้ว่าภาพวิวที่กำลังจะผ่านสายตาไป มีอะไรบ้าง และควรเตรียมกล้องให้พร้อมที่จะกดชัตเตอร์ให้เร็วในการบันทึกภาพ .. รถไฟจะไม่จอดให้เราลงไปเก็บภาพ ยกเว้นจุดที่ผ่านน้ำตก
สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้น่าทึ่งพอๆกับน่าสนใจมาก
เส้นทางรถไฟ Flambana มีความโดดเด่นจนดึงดูดคนมาท่องเที่ยวให้มาเยือนมากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของประเทศนอร์เวย์ แต่ความโดดเด่นของ Flambana ไม่ได้มีเพียงแค่วิวที่สวยงามตลอดเส้นทางเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นแบบของวิศวกรรมรางรถไฟที่น่าอัศจรรย์อีกด้วย
เส้นทางรถไฟจะตัดลัดเลาะขึ้นสู่ภูเขาสูง ผ่านโตรกเขาและป่าไม้ให้ผู้โดยสารได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติทุกรูปแบบ.. ระหว่างนั้นรถไฟจะแล่นลอดอุโมงค์เป็นช่วงๆ โดยอุโมงค์ที่ยาวที่สุดมีความยาวถึง 1,300 เมตร
การสร้างทางรถไฟสายนี้เริ่มขึ้นในปี 1924 และสามารถเปิดใช้ได้ในปี 1940 ซึ่งทำให้การเดินทางจาก Sogn ไปยัง Bergen และ Oslo เป็นไปได้ผ่านทางรถไฟ
รถไฟที่ใช้ไฟฟ้าถูกนำมาใช้ในปี 1944 .. ช่วงแรกใช้หัวรถจักรแบบ El 9 และจากปี 1982 ได้นำแบบ El 11 มาใช้ .. ในปี 1992 มีการยกเลิกการขนส่ง และเกือบจะต้องปิดการเดินรถโดยสิ้นเชิง เพราะค่าโดยสารที่ถูก ทำให้ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงปี 1998 .. Flåm Utvikling เข้ามาดำเนินกิจการด้านการตลาด และมีการขึ้นราคาค่าโดยสารอย่างมาก รวมถึงนำหัวรถจักรแบบ El 17 มาใช้ แต่รถไฟสายนี้ยังคงอยู่ภายใต้การบริหารของ Norwegian State Railways (NSB) และเส้นทางการเดินรถยังเป็นสมบัติของ Norwegian National Rail Administration
การสร้างทางรถไฟลัดเลาะขึ้นไปตามภูเขาสูงชัน เจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาโดยที่ไม่ต้องระเบิดภูเขาทิ้ง เป็นสมบัติทางความรู้ด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม และเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความเพียรพยายามของคนรุ่นก่อนได้เป็นอย่างดี
ความลาดโดยเฉลี่ยของเส้นทางสายนี้อยู่ที่ 5.5% คือจะสูงขึ้นไป 1 เมตรทุกๆระยะทาง 18 เมตร โดยช่วงที่ชันน้อยที่สุดจะอยู่ที่ 2.8% … เส้นทางของรถไฟจะสะพาน 1 สะพาน และผ่านอุโมงค์ 20 แห่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้แรงงานคนตัดเจาะภูเขาให้ทะลุไปยังอีกฟากหนึ่ง
แผนการที่จะสร้างทางรถไฟเชื่อม Oslo และ Bergen
แผนนี้เกิดจากการริเริ่มของ Andreas Tanberg Gløersen ในปี 1871 เขาเสนอให้รถไฟสายนี้แล่นผ่านเมือง Hallingdal และ Voss โดยจะมีเส้นทางแยกออกไปเพื่อเชื่อมฟยอร์ด Sognefjord และ Hardangerfjord เข้าด้วยกัน
รถไฟสาย Bergen ถึง Voss เปิดใช้ในปี 1883 และสาย Bergen เสร็จสมบูรณ์เป็นสายการเดินรถมาตรฐานในปี 1909
ในช่วงที่มีการก่อสร้างทางรถไฟสาย Bergen ส่วนของทางรถไฟที่เข้าสู่ Flåmsdalen ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้สามารถเข้าถึงเมือง Myrdal ได้ ซึ่งเดิมมีเพียงถนนที่ใช้รถม้าเท่านั้นที่เข้ามาถึง ..
ทางรถไฟสาย Hardanger ซึ่งเชื่อมรถไฟสาย Bergen กับ Hardangerfjord เปิดใช้ในปี 1935 และเป็นรถไฟที่ใช้ไฟฟ้าสายแรกของประเทศนี้ และสถานี Myrdal Station เปิดบริการในปี 1908 และเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายนี้
การสำรวจทางวิศวกรรมสำหรับทางรถไฟสาย Flåm เริ่มดำเนินการในปี 1893 โดยครั้งแรกมีการเสนอให้ใช้รางขนาดเล็กแค่ 3.5 ฟุต ในระยะทาง 18.0 กิโลเมตร โดยจะสร้างในความลาดชันราว 2.5 % แม้ว่า ในบางช่วงจะเป็นแบบ rack railway ที่มีความลาดเอียงถึง 10.0 % ตอนนั้นคาดว่าจะต้องใช้เงินราว 3.3 ล้านโครน
ในปี 1904 มีการเสนอให้สร้างเส้นทาง Sognefjord ซึ่งมีระยะทางราว 47.13 กิโลเมตร โดยเดินรถจาก Voss ไปที่ Gudvangen ผ่าร Stalheim โดยค่าก่อสร้างราว 3.5 ล้านโครน … แต่ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากนักการเมืองท้องถิ่น ที่เห็นว่าเส้นทาง Flåm ดีกว่า
ทางเลือกที่ 3 คือการผสมผสานการเดินรถแบบรถรางเข้ากับแบบที่ใช้เส้นสลิงดึงขึ้นไป (tramway and funicular) ซึ่งจะสร้างในเส้ยทางระหว่าง Myrdal กับ Fretheim ซึ่งต้องใช้งบราว 800,000 โครน … แต่ NSB เป็นห่วงว่าจะหาทุนมาดำเนินการได้ไม่เพียงพอในช่วงฤดูหนาว จากที่คาดการณ์ว่าเส้นทาง Flåm จะมีคนมาใช้บริการแค่ราว 22,000 คนต่อปี
เมื่อทางเลือกทั้ง 2 ทางไม่ได้รับการพิจารณาต่อ จึงตกลงที่จะสร้างเส้นทาง Flåm ประจวบกับหน่วยงาน Railway Committee for Nordre Bergenhus County แนะนำให้เลือกดำเนินการในเส้นทางนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม NSB ไม่คอยชอบใจการสร้างแบบผสมผสาน rack and adhesion railway และอยากให้สร้างในรูปแบบธรรมดาตลอดเส้นทาง .. วิศวกร Ferdinand Bjerke ได้เดินทางไปที่ยุโรปเพื่อศึกษารูปแบบหลายๆอย่าง
เขาได้ตีพิมพ์รายงานเบื้อต้นขึ้นในปี 1911 ซึ่งแนะนำว่าควรสร้างแบบที่ใช้ทั่วไป แม้ว่าเขาจะออกตัวว่ายังต้องการศึกษารายละเอียดของการสร้างแบบ rack railway
รายงานสุดท้ายของเขาตีพิมพ์ในปี 1913 และแนะนำให้สร้างแบบปกติ แต่ได้แจ้งว่าคงจะรองรับการขนส่งได้น้อยกว่าที่คาดเอาไว้ และค่าดำเนินการสร้างจะสูงเป็นสามเท่าของที่คาดการณ์ หรือจะต้องใช้เงิน 5.5 ล้านโครน .. แจ่แผนวานได้รับการอนุมัติจากกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการชุดใหญ่ของ NSB's ในปี 1915
แผนงานได้รับการอนุมัติโดยสภาผู้แทนราษฎรในปี 1916 … อย่างไรก็ตามการตัดสินใจในส่วนของรายละเอียดของสเปค ยังคงมีความห่วงใย และสภาฯไม่กล้าตัดสินใจเรื่องนี้จนถึงปี 1923 จึงมีการให้ใช้รถไฟฟ้า ซึ่งทำให้ต้นทุนการสร้างพุ่งสูงไปถึง 14.5 ล้านโครน ซึ่งส่วนหนึ่เป็นเพราะเรื่องของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก … และเงินจำนวน 1.2 ล้านโครน รัฐบาลท้องถิ่นต้องเป็นผู้หางบมาอุดหนุน
เส้นทางรถไฟสายนี้ต้องมีรางที่หนัก 25 กิโลกรัมต่อเมตร .. รัศมีของความโค้งอย่างน้อย 150 เมตร แต่ก็ยอมรับได้ในรัศมี 125 เมตรในกรณีพิเศษ สำหรับความลาดชัน คือ 5.5 % (1:18)
ในปี 1915 มีการเสนอให้ใช้รถบัสแทนการใช้รถไฟ แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า รถบัสไม่สะดวกสบายและไม่มีความแน่นอนเหมือนรถไฟ
ไอเดียนี้ถูกเสนออีกครั้งในปี 1922 โดยหน่วยงาน Norwegian Public Roads Administration .. แต่ผู้ที่ต่อต้านอย่างแข็งขันคือ Ingolf Elster Christensen ซึ่งมีตำแหน่งเป็น County Governor of Sogn og Fjordane ซึ่งตอนหลังเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร
เขาบอกว่า Nordre Bergenhus County (ปัจจุบันคือ Sogn og Fjordane County Municipality) ได้จ่ายเงินของรัฐบาลท้องถิ่นให้กับการสร้างทางรถไฟเส้นทาง Bergen ไปแล้ว โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องมีการสร้างเส้นทางแยกมาถึง Sognefjord
ในช่วงปี 1920s ซึ่งเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และหลายหน่วยงานของรัฐต้องลดงบประมาณและลดต้นทุนอย่างมาก และหนึ่งในนั้นคือการเสนอของ Hans Kristian Seip ซึ่งเป็นกรรมการของ Bergen Public Road Administration ให้สร้างถนนมาที่ Flåm
ในปี 1925 สภา Mowinckel's First Cabinet ได้เสนอให้สร้างทางรถไฟ และได้มีการวางรางรถไฟในเวลาต่อมา แต่ให้มีสถานีที่รถไฟจอดแค่สถานีเดียว
การก่อสร้างทางรถไฟ
หน่วยงานอำนวยการสร้างทางรถไฟสายนี้ถิอกำเนิดขึ้นในปี 1923 แต่ใช้เวลาจนถึงปี 1935 จึงมีสำนักงานที่ Voss .. การก่อสร้างทำโดย Peter Bernhard Kristian Lahlum ซึ่งรับผิดชอบการสร้างทางรถไฟสาย Hardanger ด้วย
หลังจากที่การสร้างทางรถไฟสาย Hardanger เสร็จสิ้นลง นาย Lahlum ก็เกษียนและสำนักงานย้ายมาอยู่ที่ Flåm โดยมี Adolph M. B. Kielland เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และมีคนงานจำนวน 120 คนทำงานที่หน่วยงานก่อสร้าง และต่อมาได้เพิ่มจำนวนเป็น 220 คน .. จำนวนคนวานขึ้นลงอยู่ระหว่าง 80-280 คน
มีการสร้างอาคารที่พักให้คนงาน และสร้างสถานี ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของท้องถิ่นดีขึ้น จากการรับค่าเช่าม้าเพื่อใช้ขนส่งวัสดุก่อสร้างในช่วงกลางคืน เพิ่มเติมจากการบริการนักท่องเที่ยวในตอนกลางวัน
ในช่วงทำการก่อสร้าวในปี 1924 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เป็นผลดีกับการก่อสร้างหลายครั้ง เช่นดินถล่ม หิมะถล่ม ทำให้เกิดความเสียหายกับการก่อสร้าง
การสร้างอุโมงค์เป็นส่วนที่ยากที่สุด และใช้เวลามากในการก่อสร้าง .. ในจำนวน 20 อุโมงค์ มีการใช้เครื่องจักรในการช่วยก่อสร้างเพียงแค่ที่อุโมงค์ Nåli และอุโมงค์ Vatnahalsen เท่านั้น ที่เหลือต้องสร้างด้วยการใช้มือทั้งสิ้น
คนงานต้องเจาะลึก 4.2 เมตรเข้าไปในหิน แล้วนำระเบิด dynamite ไประเบิดหิน แต่ที่สุดในปี 192 การขุดอุโมงค์แรกก็เสร็จเรียบร้อย และอุโมงค์สุดท้ายแล้วเสร็จในปี 1935 .. น่าเศร้าที่มีคนงานเสียชีวิต และป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจจากการขุดเจาะอุโมงค์หลายคน รวมถึงเกิดอุบัติเหตุ 2 ครั้งขณะทำการเจาะอุโมงค์
การวางรางรถไฟเริ่มต้นขึ้นในปี 1936 และมีความก้าวหน้าในการเชื่อมต่อสถานีต่างๆมาเรื่อยๆ จนถึงปี 1939 จึงมีการเดินรถไฟในเดือน ตุลาคม โดยเดินรถสัปดาห์ละ 3 ครั้งจากสถานี Myrdal กับ Berekvam
อย่างไรก็ตามการเดินรถต้องหยุดในช่วงสิ้นเดือนเดียวกัน หลังจากการเข้ามายึดครองจากเยอรมัน และมีการดำเนินการเดินรถไฟต่อในฤดูกาลถัดมา เมื่อเยอรมันต้องการให้ดำเนินการเดินรถไฟไอน้ำให้เร็วขึ้นภายในปี 1942
การเร่งวางรางรถไฟทำโดยเพิ่มจำนวนคนงาน จนสามารถเริ่มเดินรถไฟที่สถานี Flåm ได้ในวันที่ 1 สิงหาคม 1940 โดยสามารถเดินรถไฟได้วันละ 4 เที่ยว .. 2 เที่ยวในเส้นทางไปและกลับ
รถไฟโดยสารเริ่มดำเนินการได้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1941 โดยสามารถเดินรถไปและกลับด้านละ 2 เที่ยวต่อวัน ใช้เวลา 65 นาทีขาลง และ 80 ขาขึ้นเขา .. เส้นทางนี้ถูกตั้งชื่อเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1941
ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมดอยู่ที่ 26,651,900 (รวมค่าใช้จ่ายในเรื่อง earthwork สถานีรถไฟ การป้องกันหิมะถล่ม งานไฟฟ้า เป็นต้น ) ซึ่งในจำนวนนี้ 22.0 ล้านโครนใช้เพื่อสร้างทางรถไฟ 2.3 ล้านใช้สร้างสถานีจ่ายไฟฟ้า และ 1.2 ล้านในการสร้างท่าเรือที่ Flåm
ช่วงแรกของการเดินทาง รถไฟจะผ่านอุโมงค์สั้นๆหลายอุโมงค์
เราเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพและวัฒนธรรมอันงดงามของ Flam Valley
1
ที่สถานีน้ำตกจอสฟอสเซ่นที่ความสูง 669 เมตรจากระดับน้ำทะเล รถไฟจะจอดประมาณ 10 นาทีให้เราลงไปบริเวณจุดชมวิวเพื่อถ่ายรูป ชื่นชมความสวยงามและสัมผัสความชุ่มฉ่ำจากละอองน้ำของน้ำตก“Kjosfossen” ที่งดงามตลอดฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน ขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 225 เมตร
มีเสียงเพลงพื้นบ้านของนอร์เวย์แว่วมาเบาๆ แข่งกับเสียงของน้ำตกที่ตกลงมากระทบหิน … มองไปยังด้านหนึ่งของน้ำตก ..
.. ภาพหญิงสาวนางหนึ่งในชุดสีแดง ออกมาจากป่า .. เธอเต้นรำไปตามจังหวะและท่วงทำนองของเพลงพื้นบ้านที่ล่องลอยอยู่ในสายลม
… ใครบางคนเล่าว่า เธอมีนามว่า Huldra ซึ่งเป็นภูติจากป่า อันมีเรื่องราวจากนิทานพื้นบ้านที่เล่าขานกันมา .. ว่ากันว่า เธอมาเพื่อที่จะหลอกล่อ เย้ายวนให้ชายหนุ่มตามเข้าไปในป่า
… ระวังตัวกันไว้บ้างนะคะ ชายหนุ่มทั้งหลาย
เรากลับขึ้นไปบนรถไฟอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีไมร์ดัลอันเป็นสถานีปลายทางที่ความสูง 866 เมตรจากระดับน้ำทะเล (เท่ากับว่ารถไฟพาเราไต่ระดับขึ้น 1 เมตรในทุกๆ 18 เมตร!)
ที่สถานีไมร์ดัล เราสามารถแวะทานอาหารหรือช้อปปิ้งของที่ระลึกได้ มีร้านอาหาร ร้านค้า และคาเฟ่หลายร้านในบริเวณนี้ ที่ส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ..
สถานีไมร์ดัลเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟสายเบอร์เกน (Bergen Railway) ใครอยากไปเที่ยวเมืองเบอร์เกน เมืองท่าและเมืองเก่าแก่ของนอร์เวย์ก็สามารถต่อรถไฟได้ที่นี่ เมื่อเที่ยวเสร็จแล้วค่อยนั่งรถไฟจากเมืองเบอร์เกนกลับไปเมืองออสโลก็ได้
ส่วนใครที่อยากดื่มด่ำความสวยงามของวิวตามเส้นทางรถไฟฟลัมสบานานานๆ ก็สามารถนั่งรถไฟกลับไปที่เมืองฟลัมได้โดยซื้อตั๋วแบบไป – กลับเท่านั้นเอง
เส้นทางรถไฟสาย Flåm Railway นี้ National Geographic Traveler Magazine ยกให้เป็นเส้นทาง 1 ใน 10 ของการเดินทางโดยรถไฟที่ดีที่สุดในยุโรปในปี 2014 และ Lonely Planet Traveller ยังยกให้เป็นเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย
โฆษณา