20 ก.ค. 2020 เวลา 22:43 • ท่องเที่ยว
Summer Iceland .. ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
.. “ไอซ์แลนด์ .. หากไม่ไปดูแสงเหนือในช่วงหน้าหนาว แล้วจะไปดูอะไรในหน้าร้อน?” .. คำถามจากคนที่คุ้นเคยเมื่อพวกเขารู้ว่าฉันจะเดินทางไปไอซ์แลนด์ในช่วงเวลาที่เป็นหน้าร้อนของที่นั่น
ฉันไม่ค่อยจะแปลกใจที่ได้รับคำถามแบบนี้ .. ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อพูดถึงการไปท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการออกล่าความระยิบระยับของแสงเหนือท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบไปหลายสิบองศา
หน้าร้อนในไอซ์แลนด์ อยู่ในช่วงราวเดือน มิถนายน – กรกฎาคม .. เป็นช่วงที่ไม่มีแสงเหนือให้คลั่งไคล้ แต่เปี่ยมเสน่ห์ของธรรมชาติดิบๆ แบบ … การไปลั่ลล้า โพสท่าสวยๆในทุ่งดอกลูปิน .. กรี๊ดจนสุดเสียงกับความน่ารักของ นกพัฟฟิน .. น้ำตกที่สวยจนคุณต้องร้อง ว๊าวววว ยาวๆ … รวมถึงความหลุดโลกของทุ่งลาวาที่มีมอสสีเขียวๆปกคลุม และเวิ้งว้าง จนดูเหมือนคุณอยู่ในโลกของมนุษย์ต่างดาว
… ที่สำคัญและน่าทึ่งสุดๆ คือ ความเขียวจัด เหมือนใครไปสะบัดพู่กันหรือทำถังสีเขียวของมอส หกรดทุกพื้นที่ของไอซ์แลนด์ในหน้าร้อน
… Last but not least .. ในหน้าร้อน พระอาทิตย์ที่อัสดงราวสองยาม และพระอาทิตย์ขึ้นในเวลาที่ไม่ห่างกันนัก ทำให้คุณจะไม่เห็นความมืดเข้ามาครอบคลุมไอซ์แลนด์เลยตลอดช่วงเวลาหน้าร้อน ทั้งประเทศคึกคักมาก และถนนทุกสายเปิดหมด … ทำให้นักท่องเที่ยวสายโหดที่ไม่สนใจเรื่องเวลา สามารถทำกิจกรรมท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้ทุกชนิด (ยกเว้นการออกล่าแสงเหนือ) เข้าถึงพื้นที่ที่ห่างไกลได้ … จึงเป็นสวรรค์ของนักถ่ายภาพประเภทถึกๆค่ะ
Iceland .. Land of Fire and Ice
ไอซ์แลนด์ (Iceland) เป็นประเทศนอร์ดิกที่อยู่ในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างประเทศกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร โดยมีเมืองหลวงชื่อ เรคยาวิก (Reykjavik) มีประชากรราวสามแสนคนเศษ
ไอซ์แลนด์มีพื้นที่ของประเทศราว 102,775 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดในโลก โดยมีอุตสาหกรรมการประมงเป็นอุตสาหกรรมหลัก และในปี 2557 ได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลกด้วย
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศสมาชิกของนาโต แต่ไม่มีกองทัพของตนเอง และไม่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป … ภาษาไอริช เป็นภาษาหลัก และมีต้นแซมร๊อค (Shamrock) เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำชาติ มีดอกดายาสขาว (Days Octopetala) เป็นดอกไม้ประจำชาติ
เวลาที่ไอซ์แลนด์ต่างจากประเทศไทย 7 ชั่วโมง … เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้เราปรับตัว อาจจะมีฝนตก แดดออก พายุ ลมหนาว และอื่นๆภายในเวลาชั่วโมงเดียวกัน จนกลายเป็นเรื่องโจ๊กที่พูดติดปากคนไอซ์แลนด์ว่า If you don’t like the weather, wait for 5 minutes หากคุณไม่ชอบอากาศตอนนี้ ไม่เป็นไร รออักสัก 5 นาทีนะ
Land of Ice and Fire … ทำไมถึงเรียกดินแดนไอซ์แลนด์ว่า ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ?
ไอซ์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของสันเขาใต้ทะเลที่เป็นผลมาจาการที่ลาวาแข็งตัว ของ Mid Atlantic Ridge ที่ทอดเป็นแนวกลางมหาสมุทะแอตแลนคิกยาวจากเหนือจรดใต้นับหมื่นกิโลเมตร และมีส่วนที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก กลายเป็นเกาะไอซ์แลนด์ เมื่อหลายสิบล้านปีที่แล้ว
ไอซ์แลนด์จึงแตกต่างจากเกาะส่วนใหญ่ในโลกที่เกิดจากการแตกตัวของแผ่นดินออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีป …
… ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่ในรอยต่อของพื้นโลกที่กำลังแยกออกจากกัน มีรอยแยกของเปลือกโลกและสันเขาใต้ทะเลที่มีลาวาไหลออกมาตลอดเวลา มีภูเขา และภูเขาไฟที่เกิดจากลาวาทั้งสิ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งสูงมากๆ และไม่สูงนัก มีการระเบิดหรือประทุอยู่เนืองๆ ทุกๆ 3-5 ปี .. ทั้งที่เป็นการระเบิดเบาๆ และรุนแรงขนาดทำให้เกิดผลกระทบต่อการบินทั้งทวีปยุโรปก็เคยมีมาแล้ว
… ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่ในเขตธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของโลก ณ ละติจูด 63-66 องศาเหนือ อยู่ใกล้ขั้วโลก และใกล้ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่จึงมีน้ำแข็ง และธารน้ำแข็งจำนวนมาก
ดินแดนแห่งนี้จึงเป็น ดินแดนแห่งไฟ และน้ำแข็ง ที่ไม่มีแผ่นดินอื่นๆโลกเสมอเหมือน
การเตรียมตัวในการเที่ยวแบบ Road Trip
หากคุณไม่ได้ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ที่มีการจัดการทุกอย่างให้ล่วงหน้า และต้องการที่จะเที่ยวแบบขับรถไปกันเอง มีสิ่งที่คุณต้องรู้และเตรียมการณ์อยู่หลายอย่างที่สำคัญคือ
1. การเช่ารถ .. ขนส่งสาธารณะในไอซ์แลนด์มีน้อยมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเช่ารถในการเดินทางไปในที่ต่างๆ
ขอแนะนำให้เช่ารถล่วงหน้าก่อนการเดินทางนานๆ เพื่อให้ได้รถที่มีขนาดตามที่ต้องการ และพอเหมาะกับจำนวนคน รวมถึงสามารถขนสัมภาระได้หมด เมื่อใกล้วันเดินทางจริงควรต้องทำการคอนเฟริมกับบริษัทที่ให้เช่ารถให้ดี
การทำประกันรถเป็นเรื่องจำเป็นเพราะสภาพถนนอาจจะมีบางช่วงที่เราต้องการลุยเข้าไปชมสถานที่บางแห่งที่อยู่ห่างไกลและสภาพของถนนเป็นทางลูกรัง มีกองหินตามธรรมชาติกระจายเต็มพื้นที่ อีกทั้งลมแรง … นี่ยังไม่รวมถึงในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะเป็นอุปสรรคและความท้าทายในการขับขี่ … หากเกิดอุบัติเหตุทำให้รถเสียหายจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตมากเป็นค่าซ่อม
อ้อ … เลือกรถที่มีระบบ GPS และ Cruise Control ติดตั้งในรถไว้แลเว ก็จะช่วยให้การเดินทางง่ายขึ้น
2. ที่พัก … ที่พักในไอซ์แลนด์มีจำนวนไม่มาก หน้าร้อนของไอซ์แลนด์ เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า High Season ที่พักดีๆที่ตรงกับความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อพาร์ทเม้นท์ เกสต์เฮ้าส์ฯ อาจจะหาได้ยากและราคาแพงมาก จึงควรจะจองล่วงหน้านานมากๆ เพื่อการันตีว่าเราจะมีที่พักหลับนอนในโลเคชั่นที่สะดวกในการท่องเที่ยวตามความต้องการ รวมถึงราคาก็จะไม่แพงหูฉี่ด้วยค่ะ
3. น้ำหนักกระเป๋าเดินทาง … การเดินทางจากยุโรปเข้าสู่ไอซ์แลนด์ต้องใช้บริการของสายการบิน WOW ซึ่งอนุญาติให้นำสัมภาระที่มีน้ำหนักรวม 20 กิโลกรัมเข้าไปโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม หากคุณมีสิ่งของติดตัวที่มีน้ำหนักมากกว่านี้ เช่นการนำอาหารสำเร็จรูปเข้าไป แนะนำให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มล่วงหน้า ซึ่งจะต้องเพิ่มครั้งละ 20 กิโลกรัม ราคาไม่แพงมากและคุ้มกับการประหยัดค่าอาหารที่แพงมากในไอซ์แลนด์
… อย่างไรก็ตาม น้ำหนักทั้งหมดที่จะโหลดขึ้นเครื่องจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของสายการบินที่จะใช้ออกจากประเทศไทยที่ส่วนใหญ่จะอนุญาติให้โหลดได้ไม่เกิน 30 กิโลกรัม
4. การแลกเงิน .. คุณสามารถใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตอย่างสะดวกสบายในทุกสถานที่ในไอซ์แลนด์ การถือเงินสดจึงไม่มีความจำเป็นมากนัก อาจจะแลกไว้แค่เล็กน้อยก็พอ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระในการคิดว่าจะต้องซื้ออะไรกลับ เพื่อกำจัดเงินที่แลกมาให้หมด (เหมือนพวกเรา อิอิ)
5. การเติมน้ำมันรถ … เป็นแบบ Self Service เมื่อเติมเสร็จ จะไปจ่ายเงินในมินิมาร์ทของปั้ม ซึ่งอาจจะต้องมี Pin ซึ่งแตกต่างจากระบบบัตรเครดิตในบ้านเรา แต่คุณสามารถซื้อบัตรเติมน้ำมันแบบ Prepaid เพื่อใช้ที่เครื่องจ่ายน้ำมันได้เลย
6. อาหารระหว่างการเดินทาง … ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่โต มีสถานที่ท่องเที่ยวในหน้าร้อนเยอะมากๆ แต่เนื่องจากมีประชากรแค่สามแสนคน แต่ละเมืองจึงอยู่ห่างกันนับร้อยกิโลเมตร การขับรถเพื่อหาสถานที่รับประทานอาหารอาจจะไม่ค่อยสะดวกและใช้เวลานานมากทำให้เสียเวลา เสียโอกาสในการท่องเที่ยว
แนะนำให้เตรียมหม้อหุงช้าวขนาดเล็กไปด้วย 2-3 ใบต่อคณะ ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ในการเตรียมอาหารสารพัดประโยชน์
ควรเตรียมอาหารไปรับประทานระหว่างการเดินทางเอง ซึ่งอาจจะซื้อหาอาหารสำเร็จรูปเตรียมไปจากเมืองไทยส่วนหนึ่ง และซื้อจากซุปเปอร็มาร์เก็ตท้องถิ่นในบางเมืองที่เราผ่านส่วนหนึ่ง (ไม่มีทุกเมือง) เช่นที่เมือง Rekyavik / Akureyri / Sellfoss / Djuplvogur / … หากเจอก็เลือกซื้อตุนไว้เลย เช่นผักสด ผลไม้ ขนมปัง เนื้อสัตว์ในมื้อที่สามารถปรุงอาหารได้
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะพักอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งมีครัวให้เตรียมอาหารได้ หากพักที่โรงแรมก็สามารถหุงได้ แต่อาจจะต้องหลบไปหุงในห้องน้ำ
น้ำก๊อก … ดื่มได้อย่างสบายใจทุกแห่ง หลายคนบอกว่าเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ที่ในบ้านเราต้องซื้อหามาด้วนราคาแพงพอดู
7. เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มอัลกอร์ฮอลล์ .. ไม่ได้มีขายทุกร้านในมินิมาร์ท ต้องไปหาซื้อที่ร้านที่ขายสินค้าพวกนี้โดยเฉพาะ ชื่อ Vindubin … เบียร์ยี่ห้อ Viking รสชาติดี
8. ห้องน้ำ … มีบริการฟรีในมินิมาร์ทของปั้มน้ำมัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้า แต่เขาจะมีกาแฟ ขนม และสินค้าจุกจิกขาย
ห้องน้ำในสถานที่อื่นๆ ส่วนใหญ่จะต้องจ่ายราว 2 ยูโร หากไม่ใช่ลูกค้าของร้าน
9. Sim Card .. ใช้ซิมของไอซืแลนด์ก็ง่ายดีค่ะ อาจจะหาซื้อจากบนเครื่องบิน หรือที่ร้านในสนามบินก็ได้ ราคาไม่แพงมากและสัญญานแจ๋ว … แต่ความจริงหากไม่ซีเรียสในการรับส่งข่าวสารแบบ real time ในที่พักทุกแห่งจะมี wifi ให้ใช้ฟรี และสัญญานดีใช้ได้คะ
10. เสื้อผ้า … แม้หน้าร้อนของไอซ์แลนด์อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ 15-20 องศาเซลเซียส แต่เมื่อขึ้นไปทางตอนเหนือ อากาศจะยังคงหนาวเย็น และที่สำคัญจะมีฝนตกและลมแรงด้วย เสื้อผ้าที่ควรเตรียมไป นอกจากจะเป็นเสื้อกันหนาวที่ไม่หนามาก ควรจะต้องมีเสื้อกันหนาว กันลม กันน้ำที่น้ำหนักเบาติดไปด้วย ซึ่งสำคัญมากในพื้นที่ที่อากาศแปรปรวน รับรองว่าได้ใช้แน่นอนค่ะ
The Journey
เราเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยใช้บริการของสายกานบิน Emirates ซึ่งเราจองเที่ยวบินล่วงหน้าไว้นานในช่วงที่มี Promotion จึงได้ราคาที่ดี
สายการบิน Emirates มีฝูงบินขนาดใหญ่ มีเครื่องบินทันสมัย ที่นั่งสบายพอสมควรสำหรับตั๋ว Economy Class ที่เราชอบมากคือ มีรายการบันเทิงให้เลือกเพียบ โดยเฉพาะภาพยนตร์ … ฉันชอบดูหนังเก่า และเป็นแฟนตัวยงของ Audrey Hepburn การเดินทางไป-กลับครั้งนี้จึงได้ชมภาพยนตร์ที่เธอแสดงหลายเรื่อง ไล่ไปตั้งแต่ Roman Holiday .. Breakfast in Tiffany .. Funny Face .. Sabrina ..How to steal a million ที่ไม่น่าเชื่อคือมีหนังไทยให้ชมด้วยค่ะ ..เลิศมาก
เราใช้เวลาอยู่ในเครื่องบินราว 6 ชั่วโมงเศษ เครื่องมาจอดครั้งแรกที่สนามบินที่ดูไบ ซึ่งเป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยมาก เพื่อนๆร่วมทริปชอบลิฟท์ที่กว้างขวางที่มีให้บริการกันยกใหญ่เชียวค่ะ …
แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดเล็กน้อย คือ แม้จะเป็นการลงเพื่อเปลี่ยนเครื่องไปยังจุดหมายต่อไป แต่สนามบินแห่งนี้ยังต้องให้ผู้โดยสารผ่านการตรวจสแกนสิ่งของที่นำติดตัวมาด้วยอีกรอบ … ไม่คอยเข้าใจวิธีคิดเหมือนกัน สำหรับเราที่เป็นผู้โดยสารที่เพิ่งจะลงจากเครื่องบินของ Emirates และยังไม่ได้ออกจากเขตสามบินเลย ทำไมต้องตรวจสแกนอีก … ไม่เข้าใจเลย
สนามบินที่ดูไบมีพื้นที่กว้างขวางมาก ผู้โดสารผ่านเพื่อต่อเครื่อง อาจจะต้องดูว่าเที่ยวบินของเราออกที่ประตูไหนอีกครั้ง หรือหากดูมาจากข้อมูลที่มีบอกในจอทีวีมาแล้ว ก็สามารถเดินไปที่ประตูทางออกได้เลย
ระหว่างทาง มีสินค้าปลอดภาษีมากมายให้ชม ให้ช้อป ตั้งแต่ขนมทานเล่น ทานจริงจัง เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ไปจนถึงทองคำ … แต่สามารถรอมาซื้อตอนขากลับก็ได้ จะได้ไม่ต้องหอบหิ้วให้เปลืองน้ำหนัก
ในระหว่างทาง มีการแจกไอศครีมรสชาติแปลกๆให้ชิมฟรีด้วยค่ะ เช่น กาแฟผสมอินทผารัม … จะรออะไร ก็ไปเข้าแถวรับมาหม่ำสิคะ .. อร่อยมว๊ากกกก
หลังจากเดินรอ นั่งรออยู่ที่สนามบินราว 3 ชั่โมง … ก็มีเสียงประกาศให้เราเริ่ม Boarding ได้ เพื่อต่อเครื่องมุ่งไปยังจุดหมายต่อไป คือ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งจะใช้เวลาในช่วงที่สองราว 6 ชั่วโมงเศษเช่นกัน
เมื่อถึงสนามบินที่กรุงโคเปนเฮเกน จะมีการตรวจประทับตราวีซ่ากันที่นี่ โดยครอบคลุมครั้งเดียวไปจนถึงการเข้าเมืองที่ไอซ์แลนด์เลย
เราต้องต่อเครื่องบินอีกครั้งเพื่อไปที่ๆไอซ์แลนด์ด้วยสายการบิน WOW ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอส แต่มีเที่ยวบินทั่วยุโรปในการรับผู้โดยสารต่อมังไอซ์แลนด์ … ดูเหมือนว่าสายการบิน WOW จะไม่มีเคาร์เตอร์ประจำเป็นของตนเอง ผู้โดยสารจะต้องคอยดูที่จอเพื่อหาว่าจะต้องไปเช๊คอินที่เคาร์เตอร์ไหน … การประกาศจะทำล่วงหน้าราวไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
น้ำหนักของกระเป๋าที่จะโหลดต้องไม่เกิน 20 กิโลกรัม หากไม่ได้ซื้อน้ำหนักเพิ่มมาล่วงหน้า ก็ต้องจ่ายแพงมาก แต่เราเตรียมการณ์มาก่อน จึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
จำนวนกะเป๋าที่อนุญาติให้ถือขึ้นเครื่องได้ อนุญาติแค่ 1 ใบ และเนื่องจากไม่เป็น Low Cost Airlines จึงไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มฟรีบนเครื่องค่ะ แต่คุณสามารถซื้อหาได้บนเรื่อง รวมถึง Sim Card ด้วย
ที่สนามบินกรุงโคเปนเฮเกน เรามีเวลาเหลือเฟื้อหลายชั่วโมง จึงใช้เวลาในการเดินดูสินค้าปลอดภาษีที่มีมากมายหลายโซน … สินค้าส่วนใหญ่นอกจากสินค้าแบรนด์เนมดังๆแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าประเภทของใช้และตกแต่งบ้าน ที่ผลิตในท้องถิ่น ซึ่งการออกแบบเก๋ไก๋มากทีเดียว แต่ราคาเป็นเงินไทย ทำให้ทำใจได้ลำบากหน่อย
เพื่อนร่วมทริปของเราคนหนึ่ง ซื้อรองเท้า Ecco ซึ่งเป็นรองเท้าคุณภาพดี ใส่สบาย … ช่วงที่เราไปกำลังมีการลดราคา 30-60% .. เธอซื้อรองเท้ารัดส้นมา 1 คู่ และจ่ายเป็นเงินยูโร
“Are you a tourist that subjected to tax refund?” .. คนขายถาม ซึ่งฉันก็ไม่เข้าในเหมือนกันว่าถามทำไม เพราะร้านค้าในนี้น่าจะเป็นร้านค้าปลอดภาษีทั้งนั้น แต่เราก็ตอบไปว่า “ใช่ๆๆๆ เราเป็นนักท่องเที่ยว”
“We can deduct the payment around 20% and you don’t have to claim the tax refund” คนขายบอกเรา … การลดแล้ว ลดอีก รวมค่าภาษีทำให้ราคาที่ต้องจ่ายลดลงมาก เหลือเป็นราคาน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่เราต้องจ่ายเมื่อซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ในเมืองไทย
เรื่องภาษี … เพื่อนๆเดาเอาว่า อาจจะเป็นเพราะราคาไม่ได้ปลอดภาษี ด้วยเหตุที่อาจจะมีคนท้องถิ่นนั่งเรือบินไปเที่ยวไอซ์แลนด์ก็เป็นได้
… เรามีเวลาบิน 3 ชั่วโมงเศษจากกรุงโตเปนเฮเกน เพื่อมายังไอซ์แลนด์ … ขณะที่อยู่ในเครื่องเหนือท้องทะเลเดนมาร์ก มองเห็นกังหันลมที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งเรียงรายอยู่ในทะเล
น่าทึ่งในการพยายามใช้ทรัพยากรที่เป็นของขวัญจากธรรมชาติมาสร้างประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ … ใครบางคนบอกว่า เดนมาร์กเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากกระแสลมมากที่สุดในโลกด้วยค่ะ
พร้อมที่จะมาขับรถเที่ยว Iceland ช่วงหน้าร้อนด้วยกันหรือยังคะ?
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา