23 ต.ค. 2020 เวลา 14:05 • การเมือง
ผมจะเล่าเรื่องล้มสถาบันฯ ให้ฟัง
ทั้งนี้เพราะผมได้ยินคนรุ่นใหม่เขาพูดกันหนาหูว่า "ไม่มียุคใดสมัยใดที่สถาบันฯ จะถูกท้าทายอย่างรุนแรงและเปิดเผยเท่ากับยุคสมัยนี้อีกแล้ว เพราะว่าพวกเขานั้นได้รับการ #เบิกเนตร จนรู้แจ้งเห็นจริงจนหมด เห็นถึงการถูกกดขี่ เอาเปรียบ จนไม่อาจทนได้อีกต่อไป จะต้องปฏิรูปสถาบันฯ (จริง ๆ ก็คือจะล้มนั่นแหละ) ต่อให้ไม่สำเร็จในวันนี้ อีกไม่กี่ปีพอคนรุ่นเก่าตายหมด เหลือแต่รุ่นพวกเขา ก็ต้องสำเร็จแน่นวล" ว่างั้น
ฮา (ขรรมแพ๊พ)
จึงอยากจะเล่าให้ฟังว่า สถาบันฯ ไม่ได้เพิ่งถูกท้าทายและจ้องจะล้มในยุคสมัยปัจจุบันนี้เป็นครั้งแรกหรอก สถาบันฯ ถูกจ้องจะล้มมาตั้งแต่เริ่มสถาปนามาโน่นแล้ว และมีคนพยายามจ้องจะล้มมาตลอดนั่นแหละ
เริ่มตั้งแต่แรก ๆ ก็ถูกจ้องจะล้มโดยอริราชศัตรู โดยพม่าในรัชกาลที่ 1. โดยลาวในรัชกาลที่ 3. โดยการล่าอาณานิคมจากอังกฤษและฝรั่งเศสในรัชกาลที่ 5. และต่อมาก็โดยคนไทยด้วยกันคือ คณะราษฏร์ในรัชกาลที่ 7. (ไปอ่านประกาศคณะราษฏร์ประกอบดูได้)
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยที่ผมยังไม่เกิด ได้อ่านมาก็ยกมาอ้างถึงพอเป็นสังเขป ให้พอได้เห็นว่าเรื่องล้มสถาบันฯ มันมีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมี แต่ว่าเหตุการณ์ที่ผมเกิดทันก็มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งนะ ซึ่งทั้งเปิดเผยและรุนแรงกว่าสมัยนี้มาก ถึงขั้นจัดตั้งกองกำลังอาวุธเข้าสู้รบกันเลยทีเดียว
เหตุการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จะล้มล้างการปกครอง 2508-2523
ช่วงนั้นพวกคนรุ่นพี่ ๆ ผมอยู่ในวัยนักศึกษา เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการเบิกเนตรแล้ว จึงรู้แจ้งเห็นจริงมีความคิดก้าวหน้า เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่าระบบกษัตริย์คือความล้าหลัง คนรุ่นก่อนก็ล้าหลัง เป็นไดโนเสาร์ มีแต่โดนกดขี่ให้เป็นทาส มีแอกครอบ สังคมมีแต่ความเหลื่อมล้ำ ไม่มีความเท่าเทียม อยู่ยากจริม ๆ ว่างั้น (เอ๊ะ ทำไมเหมือน) ฮา
ว่าแล้วก็อย่ากระนั้นเลย เลิกเรียนกันเถอะ หนีเข้าป่าไปจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ล้มสถาบันฯ เปลี่ยนแปลงการปกครองกันดีกว่า (แต่ต่างกับยุคนี้นิดนึง คือจะเปลี่ยนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์) เพราะว่าคอมมิวนิสต์มันล้ำ มันก้าวหน้า มันเท่าเทียม ว่างั้น ฮา
ต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐบาลอยู่หลายปี ล้มตายกันเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย จนปลาย ๆ เหตุการณ์ จีนซึ่งให้ท้ายคอมมิวนิสต์อยู่ดูท่าจะไม่คุ้ม คิดว่าคบรัฐบาลไทยน่าจะได้ประโยชน์กว่า จึงเลิกให้การสนับสนุนคอมมิวนิสต์ หันมาคบรัฐบาลไทยแทน คอมมิวนิสต์ก็หมดฤทธิ์
ปี 2523 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เห็นว่าคนหนุ่มสาวที่หนีเรียนเข้าไปร่วมกับพรรคคอมนิสต์ก็เพราะหลงผิด (เบิกเนตรไม่จริง) ฮา จึงไม่อยากจะเข่นฆ่าให้ตายอีก ก็เลยออกนโยบายที่เรียกกันว่า นโยบาย 66/23 นั่นเอง นิรโทษกรรมให้กับหนุ่มสาวที่หลงผิด ได้ออกมามอบตัว มาร่วมกันพัฒนาชาติไทยให้โชติช่วงชัชวาล ว่างั้น
และแล้วเอาเข้าจริงก็ไม่แค่คนหนุ่มสาวเท่านั้น คอมมิวนิสต์แก่ ๆ ด้วย ก็ออกมามอบตัวกันจนหมด เป็นการจบเห่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ตั้งแต่นั้นมา ฮา
คนรุ่นพี่ ๆ ผมในยุคนั้นที่ได้รับการเบิกเนตร และเข้าร่วมต่อสู้ล้มสถาบันฯ ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เพราะคิดว่าประเทศจะต้องเป็นของคนรุ่นใหม่เท่านั้น คนที่เป็นที่รู้จักกันก็ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนี้หลายคน ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็คิดว่าคงนึกกันออก พวกเขาเหล่านั้นบ้างก็เปลี่ยนมาเป็นผู้จงรักภักดีและมีชีวิตเจริญก้าวหน้าไปตามวันเวลา บ้างก็ล้มหายตายจากไปแล้วด้วยวันวัยอันสมควร บ้างก็วนเวียนเข้าออกคุกตะรางอยู่ตลอดเพราะไม่เคยเลิกคิดจะล้มสถาบันฯ บ้างก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ คอยยุเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานให้ล้มสถาบันฯ ต่อไป
ในยุคผมผ่านไปแล้วสี่สิบกว่าปี คนรุ่นเก่าก็ตายไป คนรุ่นใหม่ก็มาแทน แต่สถาบันฯ ก็ยังคงอยู่ ก็ยังมีคนรักและเทิดทูนอยู่เสมอมา ส่วนคนที่คิดจะล้มล้างก็คงมีมาตลอดเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่เห็นจะสำเร็จอย่างที่คุยสักที และชะตากรรมของคนที่คิดจะล้มล้างก็เป็นอย่างที่เห็น ๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย (หนี สูญหาย ตาย ติดคุก) ฮา
โฆษณา