Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
20 ก.ย. 2018 เวลา 06:14
ระบบ False Nine ที่ทุกคนพูดถึงในโลกฟุตบอล แท้จริงแล้ว คืออะไรกันแน่ วิเคราะห์บอลจริงจัง มาเล่าให้ฟังถึงจุดกำเนิด ที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลอย่างสิ้นเชิง
2
อังกฤษเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอลก็จริง แต่ในแง่ของแท็กติก พวกเขายังตามหลังชาติอื่นในยุโรปอยู่มาก
ฟุตบอลอังกฤษ จะเน้นที่ความฟิต และความแข็งแกร่งของนักเตะ รวมถึงความใจสู้เป็นหลัก แต่ระบบการเล่น ไม่ได้มีความหลากหลายเลย
ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ทีมในอังกฤษจะมีแผนการเล่นหลักๆคือ 4-4-2 กองหลัง 4 กองกลาง 4 กองหน้า 2 เป็นแบบนี้มานานนับสิบปี
ด้วยความที่ 4-4-2 คือแผนที่ใครๆก็ใช้ ดังนั้น จึงสามารถเรียก "หมายเลข" แทนตำแหน่งได้เลย
1
เบอร์ 1 โกล์
เบอร์ 2 แบ็กขวา
เบอร์ 3 แบ็กซ้าย
เบอร์ 4 มิดฟิลด์ตัวรับ
เบอร์ 5-6 เซ็นเตอร์แบ็ก
เบอร์ 7 ปีกขวา
เบอร์ 8 มิดฟิลด์ตัวกลาง
เบอร์ 9 กองหน้าตัวเป้า
เบอร์ 10 กองหน้าตัวต่ำ
เบอร์ 11 ปีกซ้าย
เวลาพูดถึงว่า ตำแหน่งเบอร์ 9 ก็จะรู้เลยว่าหมายถึง "กองหน้าตัวเป้า" เป็นต้น
ไอเดียของฟุตบอลอังกฤษ ในยุคก่อนพรีเมียร์ลีกจะก่อตั้ง นั้นเรียบง่ายมากๆ คือ หาปีกตัวจี๊ดๆ โกล์เตะยาวมาจากประตู กองหน้าตัวใหญ่ พยายามแย่งโหม่งให้ได้ แล้วจ่ายบอลออกปีก ปีกกระชากไปถึงเส้นหลัง แล้วโยนกลับมาให้กองหน้าโหม่ง
การเข้าทำแบบ แพทเทิร์น ของฟุตบอลอังกฤษ จะเน้นการโยนริมเส้น ดังนั้น กองหน้าจำเป็นต้องอยู่ในกรอบเขตโทษ เพื่อแย่งโหม่งให้ได้
กองหน้าแบบคลาสสิคในอุดมคติของอังกฤษ คือ รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายแข็งแกร่ง บังบอลได้ดี
เราเรียกนักเตะแบบนี้ว่า Classic Nine หรือ Traditional Nine ที่แปลว่ากองหน้าเบอร์ 9 แบบดั้งเดิม
จริงๆไอเดียเรื่องการ ให้กองหน้าไม่ต้องปักหลักในเขตโทษ มันก็พอมีทีมที่คิดอยู่บ้าง แต่ไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
โรม่า ในฤดูกาล 2006-07 ในบางเกมเราเห็นลูชาโน่ สปัลเลตติ สั่งให้ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ กัปตันทีม ยืนเป็นหน้าเป้าคนเดียว แล้วลงมาล้วงบอลกลางสนามบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่ ก็ให้ยืนรอในกรอบเขตโทษนั่นล่ะ
เพราะยังไงเสีย ความคิดถึงกองหน้า ก็คือ "ต้องยิงประตู" ถ้าไม่มีคนรอบอลในเขตโทษ แล้วทีมจะเอาอะไรมายิงคู่แข่งล่ะ
อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ปี 2008 ไอเดียของการเล่นเกมรุก ในโลกของฟุตบอลก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้าคุมบาร์เซโลน่าต่อจากแฟรงค์ ไรจ์การ์ด
ซีซั่นแรกของเป๊ป เขาใช้แผนเดิมๆของบาร์เซโลน่าที่เคยมีมาคือ 4-3-3 โดยใช้เธียร์รี่ อองรี เป็นปีกซ้าย, ลีโอเนล เมสซี่ เป็นปีกขวา และ ซามูเอล เอโต้ เป็นกองหน้าตัวเป้า
ด้วยทีมนี้บาร์ซ่ากวาดเรียบทุกแชมป์ รวมถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย แต่ทว่ากวาร์ดิโอล่า ยังไม่พอใจ
ไอเดียของเขาลึกล้ำกว่านั้น เขามองว่าฟุตบอลในยุคต่อไป ทีมที่ชนะแดนกลางได้ จะชนะเกมอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าคุณครองบอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนคู่แข่งแย่งบอลไม่ได้ ก็แทบจะปิดประตูแพ้ไปเลย
แต่ทำอย่างไร ถึงจะครองบอลได้มากกว่าคู่แข่ง กลยุทธ์ไหน ที่จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การครองบอลได้ กวาร์ดิโอล่าได้กลับมาทบทวน แล้วก็ได้รู้ว่า ตำแหน่งที่ มีส่วนร่วมกับเกมน้อยที่สุดในฟุตบอลยุคใหม่ คือ กองหน้าตัวเป้า
กองหน้าตัวเป้าแบบ Classic Nine จะทำหน้าที่คือยืนรอบอลในเขตโทษ รอเพื่อนแทงทะลุช่อง หรือ โยนบอลด้านข้างมาให้ พวกเขาเหล่านี้ จะไม่มีส่วนร่วมอะไรกับเกมเลย นอกจากรอยิงประตูอย่างเดียว
ในขณะที่คนอื่นๆ ขับเคลื่อนเกมไปเรื่อยๆ แต่กองหน้าเหมือนจะโดดเดี่ยวในโลกของตัวเอง และไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รอยิง ซึ่งเป๊ปมองว่า นี่ไม่ใช่ไอเดียที่เขาต้องการ
ในซีซั่น 2009-10 บาร์เซโลน่าซื้อซลาตัน อิบราฮิโมวิช เข้ามาเสริมทีม ซึ่งอิบรา คือคลาสสิค ไนน์ ขนานแท้ เขาตัวใหญ่ บังบอลเก่ง แต่ก็คือกองหน้าแบบดั้งเดิม ที่ต้องรอลูกจ่ายจากเพื่อน เขาไม่สามารถวิ่งฉีกซ้าย ฉีกขวา และเชื่อมเกมกับคนอื่นได้
ถึงแม้อิบราฮิโมวิช จะมีพรสวรรค์มากๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป๊ปอยากได้เลย ทำให้ซลาตัน โดยขายทิ้งแบบขาดทุนยับเยิน ทั้งๆที่เพิ่งย้ายมาบาร์ซ่าแค่ 1 ปีเท่านั้น
จากเคสของ อิบราฮิโมวิช ทำให้กวาร์ดิโอล่ายิ่งแน่ใจว่า กองหน้าในอุดมคติของเขา ต้องมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่านี้ ต้องสามารถลงมาเชื่อมเกมร่วมกับกองกลางได้ ต้องฉีกไปซ้ายไปขวาได้เป็น แต่ก็ยังมีทักษะในการจบสกอร์ได้เป็นอยู่
และไม่มีใครที่จะตอบโจทย์ของเขา ได้ดีไปกว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ ลีโอเนล เมสซี่
เมสซี่ เริ่มต้นตำแหน่งแรกกับบาร์ซ่าคือปีกขวา เขามีความเร็วจี๊ดจ๊าด มีเทคนิคดี เลี้ยงบอลเก่ง ดังนั้นการไปยืนเป็นตัวริมเส้นก็สมเหตุสมผลดี แต่ทว่า เมื่อได้ร่วมงานกัน กวาร์ดิโอล่า จึงรู้ว่า เมสซี่มีดีมากกว่านั้น
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกได้ เพราะเขามีเซนส์การจ่ายบอลที่เฉียบคมมากๆ
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางได้ นั่นเพราะเขาเรียนรู้ศาสตร์การต่อบอล จากลา มาเซีย เขาสามารถเคาะบอลสั้นๆ ร่วมกับอิเนียสต้า และชาบีได้
เมสซี่ สามารถเล่นปีกได้ทั้งสองฝั่ง ถ้าเล่นปีกซ้าย เขาสามารถกระชากสุดเส้นแล้วครอสเรียดมาให้เพื่อนได้ หรือถ้าเล่นปีกขวา ก็ตัดเข้าในแล้วยิงด้วยซ้ายได้เช่นกัน
3
ด้วยความครบเครื่อง และทำได้ทุกอย่าง ทำให้กวาร์ดิโอล่า จึงมองว่า ตำแหน่งดีที่สุดของเมสซี่ ก็คือตำแหน่งที่เขาควรจะได้ทำทุกอย่าง และตำแหน่งนั้น คือกองหน้าตัวเป้า ในระบบใหม่ล่าสุดของเขา ที่เรียกว่า False Nine
False = ไม่จริง
Nine = เบอร์ 9
รวมกันแปลได้สวยๆว่า คือ "เบอร์ 9 ลวง" หรือ "เบอร์ 9 ตัวหลอก"
1
ถ้าหาก Classic Nine คือเบอร์ 9 ขนานแท้ ต้องยืนรอในเขตโทษ รอบอลจากเพื่อน False Nine ก็เป็นอะไรที่ตรงข้ามเลย นั่นคือ ในไลน์อัพ จะยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่วิธีการเล่นกลับไม่ได้ประจำในเขตโทษ
False Nine จะลงมาเล่นร่วมกับกองกลาง เพื่อเพิ่มตัวผู้เล่นให้มากขึ้น จนคู่แข่งไม่สามารถแย่งบอลได้
ลองคิดภาพตาม ในซีซั่น 2010-11 ที่บาร์ซ่าได้แชมป์ยุโรป พวกเขามีสามกองกลางคือ เซร์คิโอ บุสเกตต์, ชาบี เอร์นันเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า
แค่ 3 คนก็เก่งมากแล้ว แต่ในเกมการแข่ง ปีก 2 ข้าง ดาบิด บีญ่า กับ เปโดร โรดริเกวซ จะถอยลงมาร่วมการเชื่อมเกมด้วย รวมเป็น 5 คน
ไม่เพียงแค่นั้น เมสซี่ ที่เป็นกองหน้าตัวหลอก ก็ลงมาเชื่อมเกมกับกองกลางอีกคน รวมเป็น 6 คน
1
ไม่ว่าทีมไหนก็ตาม เจอกองกลาง 6 ตัว คอยต่อบอล บอกได้คำเดียวว่าคุณหาบอลไม่เจอ
ในขณะที่ทีมอื่นๆ ใช้ระบบ 4-4-2 มีกองกลางอยู่ 4 คน แต่บาร์ซ่ามี 6 คน ช่วยกัน มันก็เห็นความแตกต่างแล้ว กองกลาง 4 คน จะเอาอะไรมาไล่บอลล่ะ ยังไงบาร์ซ่าก็ไล่ไม่จนเสียที
ด้วยการยืน False Nine มันทำให้กองหลังของคู่แข่งสับสนด้วย สมมติว่า คุณเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ได้รับคำสั่งมาว่า ให้ประกบตัว (Man Marking) กับกองหน้าตัวเป้าของคู่แข่ง แบบไปไหนไปด้วย
ปรากฏว่าเวลาเมสซี่เล่น เขาวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ยืนนิ่งๆในเขตโทษ ทำให้พอเซ็นเตอร์แบ็กหลงเสียจังหวะเผลอไปประกบเมสซี่ ก็จะหลุดจากตำแหน่งตัวเอง จนโดนสำเร็จโทษ
เท่ากับว่า False Nine มันจะสร้างประโยชน์มากๆ ในแง่ของการครองบอล เพราะเหมือนคุณมีมิดฟิลด์ลงมาช่วยอีกคน
นอกจากนั้น ยังทำให้แนวรับคู่แข่งมึนงงด้วย ไม่รู้ว่าจะประกบตัวอย่างไร
การเปลี่ยนจากปีกขวา มาเล่นในตำแหน่งนี้ ยิ่งพัฒนาเมสซี่ให้ครบเครื่องกว่าเดิม เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม ที่อาศัยแต่ความเร็วอีกแล้ว แต่เขาต้องใช้ทักษะที่มีทุกอย่าง เพื่อทำให้แผนของกวาร์ดิโอล่าสมบูรณ์ที่สุด
และหลังจากโลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ False Nine ก็มีคนมากมายเอาแนวทางการเล่นนี้ไปใช้ตาม
ตัวอย่างเช่น ทีมชาติสเปน ในนัดชิงยูโร 2012 ที่พบกับอิตาลี พวกเขาใช้ระบบนี้เช่นกัน โดยเกมนั้น บิเซนเต้ เดล บอสเก้ วางสามมิดฟิลด์คือ ชาบี เอร์นันเดซ, เซร์คิโอ บุสเกตต์ และ ชาบี อลอนโซ่ ขณะที่สามแนวรุก มีอันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด ซิลบา และเชส ฟาเบรกาส
1
คือไม่มีใครเป็นกองหน้าตัวเป้าสักคนเดียว โดยเชส ฟาเบรกาส รับบท False Nine แบบเดียวกับเมสซี่ และปรากฎว่าสเปนครองบอลเหนือกว่าตามคาด และยิงถล่มไปสบายๆ 4-0
กวาร์ดิโอล่า ได้ให้นิยามใหม่ และชี้ให้เห็นว่า กองหน้าในมุมของเขา ต้องทำประโยชน์ได้มากกว่ายืนรอยิงประตูอย่างเดียว
แน่นอน การวางระบบ False Nine ถือเป็นแผนที่ดี แต่ปัญหาคือ มันหาคนเล่นได้ยาก
นักเตะส่วนใหญ่บนโลก เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ก็จะเล่นประจำอยู่ตำแหน่งเดียว คนเป็นกองหน้า ก็เล่นกองหน้ามาตลอด ฝึกฝนสกิลการยิงประตู ฝึกฝนสกิลการใช้ร่างกายบังบอลจากคู่แข่ง
มันมีไม่กี่คนหรอก ที่จะสามารถเล่นได้ครบเครื่องขนาดนั้น
วิ่งฉีกซ้ายขวาได้ ลงมาเชื่อมเกมได้ แอสซิสต์เป็น รวมถึงไม่ละเลยหน้าที่หลักคือยิงประตูได้ดี
ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้ แต่เพราะผู้เล่นแบบนี้ เหมือนเพชรเม็ดงาม ที่นานๆจะโผล่มาที คือคุณจะไปหาคนที่เก่งรอบด้านแบบเมสซี่ได้จากไหนอีก?
ดังนั้นถ้าหากสโมสรไหนก็ตาม ค้นพบกองหน้าแบบ False Nine แล้ว และ "ใช้งานเป็น" ล่ะก็
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไม่มีกองหลังทีมไหน อยากจะรับมือด้วย
#False9 #Messi
17 บันทึก
189
16
17
17
189
16
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย