24 ต.ค. 2018 เวลา 14:39
อาจารย์ดาวแดง จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในยุโรปของลิเวอร์พูล
⚽⚽⚽
ศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์สัปดาห์ที่ 3 ประจำปี 2018/19 ได้เริ่มขึ้นแล้ว และสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของลิเวอร์พูลในกรุ๊ป C ชนะ 1 แพ้ 1 อยู่อันดับสองด้วย head-to-head วันนี้พวกเขาเตรียมแอนฟิลด์ไว้ต้อนรับทีมเยือน เรดสตาร์ เบลเกรด "3 แต้มเท่านั้น" คือเป้าหมายของลิเวอร์พูลก่อนจะต้องไปเยือนสโมสรปารีส แชง แซร์กแมงต์ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ในสายตาของแฟนบอล เกมกับเรดสตาร์ เบลเกรดเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลต้องเก็บ 3 แต้มโดยไม่มีข้ออ้าง บางท่านอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสโมสรนี้เลย นอกจากเป็นสโมสรแจกแต้มประจำถ้วยยูซีแอล แต่ความจริงแล้ว เรดสตาร์ เบลเกรด สโมสรทางผ่านนี่แหละที่เคยมีความเกี่ยวข้องกับสโมสรลิเวอร์พูล เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคเครื่องจักรสีแดงเลยก็ว่าได้
เรื่องราวเกิดที่เกิดขึ้นในปี 1973 จะทำให้คุณเข้าใจว่า กว่าจะเป็นสโมสรลิเวอร์พูล "ดาวค้างฟ้า" จนถึงทุกวันนี้ สโมสรต้องผ่านบทเรียนอะไรมาบ้าง
กำเนิด Liverpool Way
Bill Shankly ผู้เป็นตำนานแห่งโลกฟุตบอลในฐานะผู้จัดการทีมผู้สร้างยุค "ลิเวอร์พูลครองเมือง" และเจ้าของประโยคในตำนานมากมาย เริ่มคุมทีมลิเวอร์พูลในปี 1959 ตั้งแต่สโมสรยังอยู่ในดิวิชั่น 2 หลักการของเขานั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง "ลิเวอร์พูลคือสโมสรของประชาชน"
เมืองลิเวอร์พูลนั้นเป็นเพียงเมืองท่าเล็ก ๆ เศรษฐกิจ, อัตราการว่างงาน, อุตสาหกรรม, และการท่าเรือ พวกเขาไม่มีอะไรจะสู้เมืองใหญ่ได้เลย และกำลังสูญเสียและพ่ายแพ้ทุกสิ่งอย่างให้กับเมือง แมนเชสเตอร์, และ ลอนดอน สิ่งเดียวที่เป็นความภูมิใจของชาวเมืองก็คือฟุตบอล และ Bill Shankly ก็ได้สร้าง "ผู้เล่นคนที่ 12" ด้วยการเปลี่ยนความโกรธและความอัดอั้นของชาวเมืองมาเป็น passion ในการเชียร์ฟุตบอล เขาย้ำอยู่เสมอว่า "หัวใจสำคัญของชัยชนะของทีมก็คือ passion ของแฟนบอลผู้สนับสนุนทีม" ในยุคที่ฟุตบอลเพิ่งมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ จากคำบอกเล่าของนักข่าวรุ่นเก่าหลายท่าน "แฟนลิเวอร์พูล" คือคนบ้าบอลกลุ่มแรกที่ปรากฏสู่สายตาประชาชนทั่วโลก พวกเขาทั้งเต้น โบกผ้าพันคอ และแหกปากร้องเพลงเชียร์สโมสรอย่างบ้าคลั่ง
Bill Shankly สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างแฟนบอล นักฟุตบอล และสโมสรลิเวอร์พูลไว้ได้ และยังฝัง DNA แห่งผู้ชนะไว้ในหัวใจของชาวลิเวอร์พูลทุกคน เขาได้สร้าง Boot Room อันลือชื่อ ด้วยการรวมรวบอดีตนักฟุตบอลลิเวอร์พูลไว้ในชุดสตาฟโค้ช โดยมี Bob Praisley เป็นมือขวาคนสำคัญและผู้วางกลยุทธ์ให้ทีม ตัว Shankly เองนั้นไม่ใช่คนที่เก่งกาจแท็กติกมากมายเลย แต่เขาได้สร้าง Liverpool Way ขึ้นมา กลายเป็นรากฐานและเป็นอัตลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูล
"นักฟุตบอลผู้สวมเสื้อลิเวอร์พูลแล้วไม่ทุ่มเท สมควรโดนจับเข้าคุก" ประโยคนี้สื่อถึงความเป็นนักสู้ตามแบบฉบับ Liverpool Way ได้เป็นอย่างดี
วันแรกที่ Bill Shankly เข้ามาดูสโมสร สนามแข่งมีสภาพเหมือนสนามฝึกซ้อม ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำประปาใช้ สโมสรไม่ได้รับการบูรณะมาตั้งแต่ปี 1927 หลังคาเหนืออัฒจันทร์คือสิ่งสุดท้ายที่ได้รับการต่อเติมหลังปี 1906 งานแรกของ Bill Shankly คือการปรับปรุงและปฏิวัติสโมสรลิเวอร์พูล
15 ปีแห่งการจัดการ เขาได้สร้างทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่สาธารณูปโภค รูปแบบการฝึกซ้อม รวมไปถึงชีวิตและจิตวิญญาณให้นักเตะและแฟนบอลลิเวอร์พูล Liverpool Way ของเขาดึงสโมสรระดับดิวิชั่น 2 ขึ้นมาเป็นเต้ยในดิวิชั่น 1 อันเป็นลีกสูงสุดอังกฤษในขณะนั้น ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีก 3 ครั้ง เอฟเอคัพ 2 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 1 ครั้ง ด้วยกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด "Pass and Move"
จากปรัชญาของ Shankly นักฟุตบอลคือเครื่องจักรที่จะพาลูกบอลไปซุกก้นตาข่าย ฟุตบอลต้องสนุก ลูกฟุตบอลต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสมอ จนกระทั่งฤดูกาลสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล เขาพาทีมลงแข่งกับสโมสรเรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งได้สอนบทเรียนให้เขาและลูกทีมรู้จักกับฟุตบอลยุโรป ทำให้ลิเวอร์พูลเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
จากวัยรุ่นจอมบู๊สู่นักสู้ผู้สุขุม
เดือนพฤศจิกายน 1973 Bill Shankly พากลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนบุกไปยูโกสลาเวียเพื่อลงแข่งรายการ European Cup กับสโมสร เรดสตาร์ เบลเกรดของยอดกุนซือ Miljan Milijanic เลกแรกจบลงที่ความพ่ายแพ้ 2-1 พวกเขายังหวังว่าจะกลับมาเอาชนะได้ในบ้าน แต่ก็โดนซ้ำแผลจบลงที่การตกรอบด้วยสกอร์เดิมคาบ้าน
นั่นคือฟุตบอลยุโรปครั้งสุดท้ายของ Shankly ก่อนที่เขาจะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เขาและทีมงานกลับมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น Shankly กล่าวประโยคสั้น ๆ แต่สะท้อนความจริงตลอดกาลว่า
"เรารู้แล้วว่า คุณไม่สามารถทำประตูได้ทุกครั้งที่คุณได้บอล"
"ทีมระดับยุโรปทำให้เห็นว่า การตั้งบอลจากแดนหลัง คือหนทางเดียวที่คุณจะเล่นได้ เมื่อพวกเขาเล่นบอลจากแดนหลัง พวกเขาเล่นกันด้วยกลุ่มเล็ก ๆ รูปแบบของคู่แข่งก็จะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาเปลี่ยน"
"เพราะฉะนั้นมันจะเป็นลิงชิงบอลไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่องเปิด ก่อนที่จะผ่านบอลสุดท้ายทะลุช่องนั้นไป มันเรียบง่าย แต่ได้ผล"
บทเรียนจากบอลยุโรปครั้งนั้นไม่ได้สูญเปล่า แม้ว่า Bill Shankly จะลาทีมไปแต่ Bob Paisley ยังอยู่
เติบโตอย่างยิ่งใหญ่
Bob Paisley เป็นนักฟุตบอลลิเวอร์พูลปี 1939-54, ผู้ช่วยผู้จัดการทีมปี 1959-1974 หมายความว่าเขาใช้เวลา 30 ปีหรือครึ่งชีวิตที่สโมสรก่อนจะก้าวขึ้นสู่หัวเรือใหญ่ของลิเวอร์พูล แน่นอนว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลต่อจาก Bill Shankly เท่ากับเขาแล้ว และสามารถกล่าวได้ว่าคุณตา Bob คือผู้จัดการทีมที่ยกระดับแท็กติกฟุตบอลและความสำเร็จของสโมสรลิเวอร์พูลขึ้นไปอีกระดับ
อาจารย์และหัวหน้า Shankly คือตาเฒ่าชวนทะเลาะ ในขณะที่ตัว Bob Paisley นั้นคือคุณลุงใจเย็น เป็นจอมแท็กติกอย่างแท้จริง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขานั้นซ่อนความคิดไว้มากมาย แน่นอนว่าเขาสืบถอดปรัชญา Pass and Move มาเต็ม ๆ แต่ในวิถีที่ต่างกัน
Phil Thompson เคยเล่าไว้ว่า
"นักฟุตบอลของพวกเขา (เบลเกรด) ครองบอลเก่งมาก และมันก็เปิดตาของ Shankly เขาเปลี่ยนวิธีเล่นทันที"
"เวลาที่เหลือของฤดูกาล ผมและ Emlyn ถอยลงไปเล่นเซ็นเตอร์แบ็ก พวกเราคือกองกลางที่ต้องเล่นกองหลัง แต่การอ่านเกมคือจุดแข็งที่สุดของผมและ Emlyn ก็เช่นกัน"
"ฤดูกาลต่อมา Bob ก็ก้าวขึ้นมาและยึดกับวิถีเดิม หลังจากนั้นความสำเร็จในยูโรเปี้ยน คัพก็ตามมา"
ปรัชญาของ Bob Paisley เรียกว่า "early ball" อันมีบทเรียนมาจากเกมที่เรดสตาร์ เบลเกรดได้สอนไว้
"ผู้เล่นที่อยู่ในทีมที่กำลังครองบอล ต้องหาพื้นที่ให้ตัวเองบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้ทีม และการจะทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นทุกคนมีส่วนร่วมกับเกมรุกและเกมรับ"
“ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกเขาถูกควบคุมด้วยการจับบอลแรก เราต้องเรียนรู้ที่จะอดทนแบบนั้น และนึกถึงการเคลื่อนที่ล่วงหน้าสองถึงสามจังหวะเมื่อเราได้บอล"
แนวคิด early ball คือ ยิ่งผู้เล่นคนหนึ่งเก็บบอลไว้กับตัวเองนานเท่าไร ผู้เล่นคนที่รับบอลก็จะมีเวลาอยู่กับบอลน้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงผ่านบอลกันให้เร็วที่สุด อย่าเก็บไว้กับตัวนาน Bob ได้มองหาผู้เล่นในทีมที่ยืดหยุ่นพอจะไปได้ทั่วสนาม (นึกถึง Gini Wijnaldum และ James Milner ในยุคนี้) เพื่อให้ฟุตบอลเคลื่อนที่ตลอดเวลา ผู้เล่นสารพัดประโยชน์เหล่านี้มักถูกสลับบทบาทในสนามอยู่เสมอ Bob รู้ว่าหากเขาใช้แท็กติกเดิม ๆ ทีมของเขาจะถึงทางตันและทำประตูไม่ได้ เขาขอให้ผู้เล่นของเขามีความอดทน ครองบอลและผ่านบอล (Possesion football) อย่างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ผ่านบอลให้เร็วและเคลื่อนที่เพื่อหาช่องให้บ่อยที่สุด และทำการจ่ายบอลให้ศูนย์หน้าเมื่อเห็นช่องทาง นั่นคือ Pass and Move ของ Bob Paisley
"ผู้คนต่างพูดถึง Total Football ของดัตช์ แต่ผมคิดว่าพวกเขาลอกเราไปต่างหาก" - Phil Thompson
ตามที่เล่ามาทั้งหมด บทเรียนที่ Bill Shankly ได้รับจากเรดสตาร์ เบลเกรดนั้นทำให้เกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงทางแท็กติกครั้งใหญ่ ที่สุดแล้วมรดกทางความคิดก็ช่วยผลักดันให้ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (เทียบเท่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปัจจุบัน) ถึง 7 ครั้ง นับตั้งแต่ยุค Bob Paisley (3), Joe Fagan (1,) และ Kenny Dalglish (3) ปี 1974-1991 ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 1992
เรดสตาร์ เบลเกรด หรือ Crvena Zvezda กำลังจะกลับมาเยือนแอนฟิลด์ในรอบ 44 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ยูโกสลาเวียแยกประเทศ เรดสตาร์ฯ กลายเป็นทีมเซอร์เบี้ยนโดยสมบูรณ์ ลิเวอร์พูลเองก็ผ่านพ้นยุคที่ยิ่งใหญ่และกำลังสร้างตำนานบทใหม่ภายใต้ทีมงานของ Jurgen Klopp
ประวัติศาสตร์มีคุณค่าเสมอ มันทำให้เราเห็นรากเหง้าของตัวเอง และคุณค่าที่บรรพบุรูษได้สร้างไว้ ความสวยงามของมันมิใช่เพียงมีไว้อวดอ้างเชยชม หากแต่มีไว้เรียนรู้และปรับใช้เพื่อปัจจุบันและอนาคต
แฟนบอลรู้กันอยู่แล้วว่ารากฐานฟุตบอลของลิเวอร์พูลคือ Pass and Move แต่วันนี้สิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มคือ ก่อนจะยิ่งใหญ่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุโรปนั้น บรรดาผู้จัดการทีมชั้นตำนานก็เคยถูกสอนให้รู้ซึ้งมาแล้ว "ฟุตบอลก็เหมือนชีวิต เวลาเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน เมื่อออกจากถิ่นเก่า โลกมันก็ไม่เหมือนเดิม ผู้ที่มองเห็นและปรับตัวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ได้ไปต่อ"
⚽⚽⚽
โฆษณา