“คุณไพโรจน์ ร้อยแก้ว” จากคนหาของเก่าไม่มีจะกิน สู่เจ้าของตลาดนัดรถไฟสุดแนวที่มีรายได้หลายร้อยล้านบาท
คุณไพโรจน์ ร้อยแก้ว
“คุณไพโรจน์” เดิมเป็นคนจังหวัดอยุธยา มีคุณพ่อเป็นช่างไม้ คุณแม่เป็นแม่บ้าน
ทางบ้านนั้นมีฐานะยากจนอาศัยอยู่ในห้องแถว
ชีวิตสมัยเด็กของ “คุณไพโรจน์” นั้น ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เล่นกับเพื่อนมากสักเท่าไร
พอเลิกเรียนมาก็จะไปเก็บเศษไม้มาขายเป็นมัดได้เงิน 2-3 บาท
และสภาพแวดล้อมแถวบ้านทำให้เริ่มมีความชอบของเก่ามาตั้งแต่เด็ก
เริ่มเป็นพ่อค้าขายของเก่าตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่อได้ไปเที่ยว
บ้านเพื่อนที่หาดใหญ่ เพราะที่นั่นเป็นแหล่งของเก่าจาก
อเมริกา ตั้งแต่เสื้อทหาร กางเกง กระเป๋า เป้ รองเท้า เอามาขายต่อ
นั้นคือการเริ่มทำธุรกิจของ “คุณไพโรจน์” จนเขาสามารถเก็บเงินซื้อรถคันแรกเป็นของตัวเองได้ในวัยแค่ 17 ปี
เมื่อ”คุณไพโรจน์"อายุได้ 21 ปี ตอนนั้นเขาเป็นนักศึกษาปี 3 คณะวิศวะกรรม ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เขาเลือกทิ้งการเรียนไปผจญโลกและสร้างโอกาสแห่งความร่ำรวยให้ตัวเอง
ด้วยความคิดที่ว่ากว่าเพื่อนจะเรียนจบ “กูก็รวยแล้ว”
แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ “คุณไพโรจน์” บอกว่านี้เป็นความคิดที่ผิด
เขาไม่น่าเลิกเรียนเลย เพราะจากธุรกิจขายเสื้อมือสองที่เคยได้กำไร
ก็กลับกลายเป็นขายไม่ออก ต้องพบเจอกับความลำบาก
ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งในช่วงระหว่างอายุประมาณ 30 ปีต้นๆ
เมื่อเขาอยากเป็นเจ้าของธุรกิจโดยเปิดร้านของตัวเองย่านจตุจักรเขาขายรถไป 1 คันและได้เงินทุนจากพี่สาวเพื่อมาใช้เซ้งร้าน
เขาเปิดร้านขายของในเวลานานกว่าคนอื่น ทำมากกว่าคนอื่น
ก็เพื่อให้คืนทุนเร็วที่สุด อย่างคนอื่นเปิด 10 โมง ร้านของเขาจะเปิด 8 โมงเช้า ถ้าคู่แข่งปิด 6 โมงเย็น เขาก็จะปิด 4 ทุ่ม
แนวคิดการทำงานแบบใหม่นี้ ทำให้เขาคืนทุนได้ใน 3 เดือน และหาเงินมาเซ้งร้านต่อขยายไปได้อีก 9 ห้องติดกัน
กลายเป็นอาณาจักร Rod’s Antique ร้านขายของเก่า ที่มีทั้งร้านอาหารและบาร์ในบรรยากาศแบบยุคเก่า
กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบนี้ทำให้ “คุณไพโรจน์” สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆและลูกค้าเก่าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
แต่แล้วชีวิตกับต้องผลิกผันอีกครั้ง เมื่อที่ถูกเวนคืน
จึงทำให้”คุณไพโรจน์” ต้องหาทำเลใหม่ ซึ่ง “คุณไพโรจน์” ก็ได้ทำเลใหม่เป็นโกดังร้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯ ติดกับตลาดนัดจตุจักร
หลายคนบอกว่ามันเป็นพื้นที่ตาบอด ไม่น่าจะไปรอด
แต่ “คุณไพโรจน์” มองเห็นถึงว่าที่นี้จะเป็นทำเลที่ดีในอนาคต
จึงเกิดเป็น “ตลาดนัดรถไฟสวนจตุจักร” ขึ้นมาอย่างที่เราทราบกันดี
ในช่วงแรก “คุณไพโรจน์” ยอมรับว่า อาจจะไปไม่รอด
โดยที่พ่อค้าแม่ค้าที่มาเช่าที่นั้นขายสินค้าไม่ได้ ขนาดที่
“คุณไพโรจน์” บอกเองว่า ได้แต่นั้งมองหมากัดกัน ถ้าพ่อค้าแม่ค้าอยู่ไม่ได้ ตัวเขาเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
และไม่น่าเชื่อว่าเมื่อผ่านไปเพียง 6 เดือน พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นอาณาจักรของร้านค้านับหมื่น
และโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อ “ตลาดรถไฟจตุจักร” ก็หมดสัญญาเช่าและถูกเรียกคืนเพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง
ตอนนั้นทำให้ “คุณไพโรจน์” มีความท้อแท้เป็นอย่างมาก
ถึงขนาดที่คิดจะเลิกทำตลาดและกลับไปขายของเก่าแบบเดิม
แต่ด้วยความเห็นใจพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัว ซึ่งจะไม่มีที่ทำกิน
ทำให้ “คุณไพโรจน์” ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และ ได้พื้นที่ใหม่
ย่านถนนศรีนครินทร์ จนกลายมาเป็น
“ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์” จนถึงทุกวันนี้
อีกหนึ่งในกลยุทธ์ธุรกิจที่สร้างความมั่นใจให้ผู้เช่าว่าจะไม่ต้องโยกย้ายอีกคือการทำสัญญาเช่ายาวถึง 15 ปี เลยทีเดียว อีกทั้งยังขยายสาขาย่านรัชดาเป็น “ตลาดนัดรถไฟรัชดา” อีกด้วย
โดย”คุณไพโรจน์” เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางธุรกิจทางการบริหารตลาดนั้นต้องเข้าใจ ต้องเห็นอกเห็นใจคนที่มาเช่าพื้นที่ เราต้องดูแลเรื่องความปลอดภัย ดูแลความสะอาดพวกสาธารณูปโภค แสงสว่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือ พาคนมาเดินในตลาดให้ได้ คอนเซ็ปต์จะต้องดี การประชาสัมพันธ์ต้องดี เดินแล้วก็ยังอยากมาเดินอีก
ถึงแม้”คุณไพโรจน์” จะไม่ได้เรียนทางด้านการตลาดมาก่อน
แต่ก็เข้าใจในธุรกิจของตนเองเป็นอย่างดี รู้จุดอ่อนและจุดแข็งของธุรกิจตนเอง
นั้นแสดงว่า”คุณไพโรจน์” นั้นมีประสบการณ์และการเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งยังมีความ ใจสู้,อดทน,รู้จริง ไม่ยอมท้อถอยต่ออุปสรรค นั้นทำให้ “คุณไพโรจน์” ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้...
แหล่งข้อมูล: www.passiongen.com
บทสัมภาษณ์จากรายการ Perspective
รายการ sme ตีแตก(2011) : Rod’s antique
และรูปจาก: posttoday.com
By:markpn
- 15
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
