[ลงทุนแมน] Luxottica บุคคลที่รวยสุดในอิตาลี ทำธุรกิจอะไร? / โดย ลงทุนแมน “ผมพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถทำเงินได้ในประเทศอิตาลีด้วยธุรกิจที่สุจริต..”

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

ลงทุนแมน

ยืนยันแล้ว

•

28 พ.ย. 2018 เวลา 11:40 • ธุรกิจ

Luxottica บุคคลที่รวยสุดในอิตาลี ทำธุรกิจอะไร? / โดย ลงทุนแมน

“ผมพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถทำเงินได้ในประเทศอิตาลีด้วยธุรกิจที่สุจริต..”

ประโยคนี้ถูกกล่าวโดยคุณ Leonardo Del Vecchio มหาเศรษฐีที่รวยสุดในประเทศอิตาลี เจ้าของทรัพย์สินมูลค่า 7.1 แสนล้านบาท

แล้วคุณ Leonardo ทำธุรกิจอะไร?

ลงทุนแมน จะเล่าให้ฟัง

รู้หรือไม่ว่า

ธุรกิจที่ทำให้คุณ Leonardo รวยที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่รถสปอร์ตสุดหรูแบบ Ferrari หรือ Lamborghini แต่มันคือ ธุรกิจผลิตกรอบแว่นตา..

บริษัทของเขาชื่อ Luxottica เป็นบริษัทผลิตกรอบแว่นตาที่ใหญ่สุดในโลก

แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นชื่อของ Luxottica

แต่จริงๆ แล้วบริษัทนี้ผลิตกรอบแว่นภายใต้แบรนด์ชั้นนำ

Luxottica ผลิตแว่นตาให้กับ Armani, Burberry, Bvlgari, Chanel, Oakley, Ray-Ban, Ralph Lauren, Prada, Tiffany & Co., Valentino และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้บริษัทยังมีช่องทางจำหน่ายทั้งแบบค้าส่ง และค้าปลีกรวม 9,000 สาขาใน 150 ประเทศ และมีพนักงาน 85,000 คน

แต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ได้..

ชีวิตของคุณ Leonardo อาจพูดได้ว่า เริ่มจากติดลบ

83 ปีก่อน คุณ Leonardo ถูกเลี้ยงดูในสถานเด็กกำพร้าเนื่องจากคุณพ่อจากไปตั้งแต่ 5 เดือน และคุณแม่ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงดู

เขาเรียนจบระดับมัธยม และเริ่มทำงานในวัย 14 ปีเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานผลิตเครื่องจักร

แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขาค้นพบว่าเขาชอบอะไร..

คุณ Leonardo เริ่มรู้สึกชอบงานฝีมือที่มีความละเอียดอ่อนในโรงงานเครื่องจักร

นอกจากนี้ เขาจะใช้เวลาหลังเลิกงานไปเรียนวิชา Industrial Design จนกระทั่งเขาได้รู้จักกับธุรกิจแว่นตา

ตอนนั้นมีผู้ผลิตแว่นน้อยรายมากๆ ที่ผลิตแว่นตาที่มีคุณภาพ พอคิดได้แบบนี้เขาจึงมุ่งหน้าไปที่เมือง Agordo ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมแว่นตาของประเทศอิตาลี

หลังจากฝึกทักษะที่ Agordo อยู่หลายปี คุณ Leonardo ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Luxottica

ในตอนแรก Luxottica เริ่มผลิตชิ้นส่วนประกอบของแว่นตา ต่อมาเริ่มนำสินค้ามาต่อยอดจนกลายมาเป็นผู้ผลิตแว่นอย่างเต็มตัว

ความฝันของคุณ Leonardo คือ

“การผลิตแว่นตาคุณภาพดี รวมถึงมีรูปลักษณ์ที่ดีเมื่ออยู่บนหน้าของเรา”

คุณ Leonardo จึงได้เริ่มติดต่อ Giorgio Armani เจ้าของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำในอิตาลีโดยนำเสนอไอเดียว่า แบรนด์ Armani สามารถมีสินค้าเป็นแว่นตาได้

และเรื่องนี้กลายเป็นจุดสำคัญที่พลิกวงการแว่นตาไปตลอดกาล

ใครจะคิดว่าแว่นตาที่แต่ก่อนเป็นสินค้าทางการแพทย์สำหรับการมองเห็น ได้ถูกต่อยอดให้กลายมาเป็นสินค้าแฟชั่น

เรื่องนี้เริ่มทำให้บริษัทเติบโต เป็นที่รู้จัก และสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

โมเดลธุรกิจของ Luxottica หลังจากการระดมทุนในตลาดคือ การเข้าซื้อกิจการ และซื้อลิขสิทธิ์ผลิตแว่นตาแบรนด์หรูอีกมากมาย

Luxottica เข้าซื้อ Persol, Ray-Ban, Oakley และอีกหลายๆ บริษัท จนบริษัทของเขามี Supply Chain ของกิจการแว่นตา ตั้งแต่การผลิต จนถึงร้านค้าปลีกต่างๆ มากมาย เช่น Sunglass Hut ซึ่งเป็นร้านแว่นตาที่มีสาขามากที่สุดในโลก

ปัจจุบัน แว่นของ Chanel, Prada, Ray-Ban และแบรนด์หรูเกือบ 20 แบรนด์ผลิตโดย Luxottica และถูกขายผ่านเชนหน้าร้านที่เป็นของตนเองผ่าน Sunglass Hut อีกด้วย..

แล้ว Luxottica ในปัจจุบันมีผลประกอบการเป็นอย่างไร?

ปี 2016 รายได้ 342,000 ล้านบาท กำไร 31,900 ล้านบาท

ปี 2017 รายได้ 344,000 ล้านบาท กำไร 39,000 ล้านบาท

ในปีนี้ Luxottica ได้ถูกควบรวมเข้าไปอยู่กับบริษัท Essilor ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเลนส์แว่นตาที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ชื่อบริษัท EssilorLuxottica

การควบรวมครั้งนี้ทำให้บริษัท EssilorLuxottica มีมูลค่าตลาดรวม 1.87 ล้านล้านบาท

หมายความว่าตอนนี้ EssilorLuxottica เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีเทคโนโลยีการผลิตทั้งเลนส์, กรอบแว่นตา, แว่นกันแดด รวมถึงเชนร้านค้าปลีก-ส่ง ที่มีอยู่ทั่วโลกไปแล้วนั่นเอง

สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้คุณ Leonardo มีทรัพย์สินมูลค่า 7.1 แสนล้านบาท และปัจจุบันเขากลายมาเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในอิตาลี

เรื่องนี้บอกอะไรเรา?

หลายคนอาจมองที่จุดสุดท้ายว่าเขาเป็นเจ้าของอะไร

แต่ถ้ามองไปที่วันแรกของเขา เขาเริ่มจากบุคคลที่ไม่มีอะไรเลย

ในวันที่คุณ Leonardo โดนคุณแม่ทิ้งให้อยู่สถานเด็กกำพร้าตอนอายุเพียง 7 ขวบ คงเป็นสิ่งที่เขาจดจำได้ไม่มีวันลืม

แต่แทนที่จะจมอยู่กับความผิดหวัง

เขาเลือกที่จะนำมันมาเป็นแรงผลักดัน

และนำความถนัดที่เขาชอบมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ให้ทั่วโลกได้รู้จัก

จนในที่สุดเขาก็ได้กลายมาเป็นเจ้าของ อาณาจักรแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง

ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

ส่วนแบ่งการตลาดของ Luxottica สูงถึง 26% ของรายได้รวมของยอดขายกรอบแว่นตาทั่วโลก

ซึ่งหมายความว่าเมื่อเราเดินไปตามท้องถนนทั่วโลก แล้วให้มูลค่าแว่นเฉลี่ยเท่ากัน