2 ธ.ค. 2018 เวลา 11:05 • ธุรกิจ
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ตอนที่ 13 : I’m CEO Bitch (The End)
ในที่สุดการเรียนของ เอดูอาร์โด ก็สิ้นสุดลงเสียที กับช่วงเวลาในฮาร์วาร์ด เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดของเขา ไม่ว่าจะประสบพบเจอเรื่องราวๆ ต่าง ๆ มากมายทั้งในด้านดี และ ด้านร้ายๆก็ตาม มันถึงเวลาที่เขาต้องย้ายออกจากสถานทีแห่งนี้เสียที ที่ฮาร์วาร์ด ที่ ๆ เขาร่วมสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ เครือข่ายที่ปฏิวัติเสรีภาพ การแสดงออก รวมถึงเชื่อมต่อ ทุกคนทั่วทั้งโลกมาไว้ด้วยกันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
I'm CEO Bitch
ซึ่งแน่นอน สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ มันถึงเวลาเสียทีที่เค้าต้องดำเนินการฟ้องร้องทางกฏหมาย เพื่อไล่ล่าความชอบธรรม ที่ตัวเค้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง facebook กลับมา ทั้งหมดจะไม่ใช่เรื่องของเขากับมาร์ค เพียงสองคนอีกต่อไปแล้ว
ซึ่งเวลานี้เค้าก็ได้มานั่งคิดทบทวนตัวเอง ว่าบางทีนั้น สิ่งที่มาร์ค ทำกับ เขาอาจจะเป็นความจำเป็นในเรื่องธุรกิจเท่านั้น มันก็มีส่วนนึงที่เค้าผิด ที่พยายามอายัดบัญชี ซึ่งเหล่านี้ทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากในการหาทางร่วมทุนกับเหล่านักลงทุนมากยิ่งขึ้น แต่ยังไง เขาก็เชื่อด้วยหัวใจเต็มเปี่ยม ว่าเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของ facebook ตั้งแต่เริ่มต้น เขาเป็นคนลงเงินทุนตั้งต้น ของ facebook ทั้งหมด จนก่อร่างสร้างตัวมาได้จนถึงวันนี้ ซึ่งเขาก็ควรที่จะได้รับสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาที่ตกลงไว้ตั้งแต่แรก
ต่อสู้ด้วยการพึ่งพาศาลสถิตยุตธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
ถึงตอนนี้นั้น ความเห็นที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวของทั้งสอง คือ ต่อไปนี้ เรื่องของ facebook นั้นมันไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อน อีกต่อ ไปแล้ว มันคือธุรกิจ เขาจะตามเอาสิ่งที่เขาควรได้รับกลับมาทั้งหมด ต้องพึ่งศาลสถิตยุติธรรม เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเขา
ส่วนมาร์คนั้น แน่นอน หลังจากไล่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ออกไปพ้นชายคา facebook แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าทุกคนต่างประสบชะตากรรมเดียวกันไม่ต่างจาก เอดูอาร์โด หรือ พี่น้อง winklevoss อะไรที่เป็นภัยคุกคาม กับ facebook ที่เปรียบเสมือนลูกในไส้ ของมาร์ค จำเป็นต้องถูกจัดการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วนั้น สิ่งเดียวที่มีความหมายที่สุดต่อมาร์ค ในตอนนี้ คือ facebook มันคือผลงานการสรรค์สร้าง โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กนั่นเอง
I’m CEO Bitch
ไม่ว่าจะอย่างไร มาร์ค ไม่มีวันที่จะให้อะไรมาขัดขวาง facebook ได้โดยเด็ดขาด เพราะเขาคือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก “I’m CEO Bitch” นั่นเอง
ผลสรุปสุดท้ายของตัวละครแต่ละคนใน Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch
ฌอน ปาร์กเกอร์
ฌอน ปาร์เกอร์ มาคุม founder fund ของ peter thiel
หลังจากถูกมาร์ค ไล่ออกจาก facebook เค้าก็ยังมีบทบาทอยู่ใน ซิลิกอน วัลเลย์ โดยได้ร่วมกับ ปีเตอร์ ธีล ในการก่อตั้ง Founder Fund กองทุนสำหรับ สตาร์อัพ เพื่อหา สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ๆ เหมือนที่ ปีเตอร์ ธีล ทำได้ในการลงทุนกับ facebook 500,000 เหรียญ จนตอนนี้ มูลค่ากลายเป็นกว่า หมื่นล้านเหรียญ ในปัจจุบัน
สองพี่น้อง Winklevoss และ divya narendra
สามสหาย ได้ส่วนแบ่งเป็นที่น่าพอใจจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก
ทั้งสามทำการดำเนินคดีกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และคดีดำเนินมายาวนานเรื่อยมา จนถึง ปี 2008 ซึ่งได้ข้อสรุปสุดท้าย แม้จะไม่มีการเปิดเผยในชั้นศาลก็ตาม แต่มีการายงานจากสื่อว่า ทั้งสามนั้นได้รับเงินไปประมาณ 65 ล้านเหรียญ แม้จำนวนเงินจะมากอยู่ก็ตามในตอนปี 2008 แต่หากมาดูมูลค่า ของ facebook ในปัจจุบัน นั้นเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ๆ
ได้ทำตามความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง
เพราะปัจจุบัน มูลค่าของ facebook นั้นพุ่งขึ้นไประดับ แสนล้านเหรียญ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในด้านกีฬาเรือพาย นั้น สองพี่น้อง winklevoss ได้เป็นตัวแทนของทีมเรือพายสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแข่งขันในกีฬา โอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยแข่งได้อันดับ 6 ในประเภทการแข่งขัน ฝีพายคู่ชาย
เอดูอาร์โด เซเวอริน
เอดูอาร์โด ซัลเวอริน ได้รับเครดิตกลับมาอีกครั้ง
สำหรับ เอดูอาร์โด หลังจากจบจากฮาร์วาร์ด ก็ทำการเริ่มดำเนินการฟ้องร้อง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อสรุปเกี่ยวกับ คดีดังกล่าว และมีคดีที่ มาร์ค ฟ้องกลับเอดูอาร์ด้วย ซึ่งมีการต่อสู้ในชั้นศาลอย่างยาวนาน
จนกระทั่งในเดือน มกราคม ปี 2009 ชื่อ ของเอดูอาร์โด เซเวอริน นั้นได้กลับมาถูกบรรจุ ในตำแหน่ง Co-Founder หรือ ผู้ร่วมก่อตั้ง facebook ในเว๊บไซต์ facebook อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าการต่อสู้คดีนั้น เอดูอาร์โด สามารถเอาชนะในเรื่องการคืนเครดิต การเป็นผู้ร่วมก่อตั้งให้เขาได้สำเร็จ แต่เรื่องของส่วนแบ่งหรือหุ้นส่วนใด ๆ นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่คิดว่าน่าจะมีมูลค่าที่สูง ซึ่งน่าจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้สำเร็จ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาของ facebook ในระยะยาว
ย้า่ยมาใช้ชีวิตในสิงคโปร์ และแต่งงานกับนางงามชาวสิงคโปร์
ส่วนสถานะความเป็นเพื่อนกับมาร์ค นั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ ว่าทั้งคู่ กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือ ไม่ และ ล่าสุดนั้น เอดูอาร์โด ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์ เพื่อลงทุนในธุรกิจ สตาร์ท อัพที่มีโอกาสเติบโต เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น กำลังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนจากฝั่งอเมริกา และ ได้แต่งงานกับนางงามชาวสิงค์โปร์ และย้ายมาใช้ชีวิตที่สิงค์โปร์ในที่สุด
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO บริหาร facebook มาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ facebook นั้นก็มีการเติบโตด้านผู้ใช้งานขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงในปี 2007 เรื่องไปถึงหูของ google ซึ่งต้องการที่จะ take over facebook แต่อย่าที่รู้กันก่อนหน้านี้ ศัตรูคู่ฉกาจของ google อย่าง microsoft ไม่ยอมอย่างแน่นอน เพราะตอนนั้นกำลังขับเคี่ยวกันในหลายตลาด ทั้ง search engine , email , document tool ซึ่ง social เป็นเรื่องใหม่ที่ microsoft ไม่ยอมให้ google มายึดไปอีกแน่นอน
ไมโครซอฟท์ จึงทำเรื่อง surprise อย่างยิ่งด้วยการลงทุน ซื้อหุ้นเพียง 1.6% ด้วยเม็เงินสูงถึง 240 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าของ facebook พุ่งขึ้นไปสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญ ซึ่ง ตอนนั้น บริษัท ยังแทบจะไม่มีรายได้เข้ามามากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่เป็นการเตะตัดขา google เพื่อไม่ให้มา take over facebook เพียงเท่านั้น
microsoft ต้องเตะตัดขา google ที่พยายาม take over facebook
จนในปัจจุบัน กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน internet อย่างเต็มตัว take over บริษัท มากมายไม่ว่าจะเป็น instragram , whatsapp หรือ occulus จนผู้ใช้เติบโตไปถึงกว่า 1,000 ล้านคน อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นการเดินทางจากจุดเล็ก ๆ ในหอพักที่ ฮาร์วาร์ด จนตอนนี้ ทำให้มาร์ค กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลล่าร์ ที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
แนวคิดที่ได้จาก Blog Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม และ comment ให้กำลังใจ กับการเขียน series ชุดนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะยืดยาวได้ถึงเพียงนี้ แต่เรื่องเป็นเรื่องธุรกิจที่สนุกจริง ๆ การเกิดขึ้นของ startup เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาลัย ฮาร์วาร์ด จนเติบใหญ่มาเป็น facebook ที่ยิ่งใหญ่อย่างปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย
โดยส่วนตัวนั้น มาร์ค นั้นเป็นคนหนึ่ง ที่โฟกัส กับสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เริ่ม ผมไม่ได้มองว่า มาร์ค เป็นคนที่เลวร้ายอะไรเลย ผมมองเรื่องที่เกิดทั้งหมดนั้น เป็นเพราะมาร์ค ต้องการนำพาธุรกิจไปข้างหน้า เพื่อพิสูจน์ความสามารถของเขา และเขารักในสิ่งที่เขาทำมาก รักเหมือนลูก ใครมาขวางทาง ไมว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ตาม นั้น มาร์ค ก็พร้อมที่จะลุยเต็มที่เพื่อขจัดสิ่งที่ขัดขวางเหล่านั้น เพื่อให้ facebook เติบโตมาจนได้ถึงวันนี้ ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่มาร์ค ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กับการมีปัญหากับเพื่อนในการทำธุรกิจ ซึ่งผมคิดว่าในโลกนี้ มีปัญหาแนว ๆ นี้อยู่มากมาย โดยเฉพาะ การทำธุรกิจกับเพื่อน ที่ตอนลำบากนั้นพร้อมจะสู้ด้วยกัน และมักจะมองไม่ค่อยเห็นปัญหา แต่พอตอนรวยขึ้นมามักจะมีโอกาสที่จะแตกคอกันเสมอ ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับ facebook เพราะผลสรุปสุดท้าย ทุกคนก็ตกลงกันได้ด้วยดี แม้จะจบที่ชั้นศาลก็ตาม แต่ ดู facebook ตอนนี้สิกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลองมองมุมกลับกัน หากมาร์ค ปล่อยให้ เอดูอาร์โด เข้ามาวางอำนาจในบริษัท มาอายัดบัญชี แล้วเกิดปัญหาขึ้นมากับ facebook จนคนย้ายหนีไป platform อื่นคงไม่มี facebook บริษัทที่ยิ่งใหญ่ในโลกอินเตอร์เน็ตมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่อง idea เริ่มต้นนั้น แม้มาร์ค ไม่ได้คิดเองมาตั้งแต่แรก แต่ผมว่ามันก็เป็นเรื่องของธุรกิจ ที่คนคิด คนแรกไม่ได้ประสบความเร็จเสมอไป แต่เป็นคนที่ลงมือทำต่างหาก คนที่ลงมือทำด้วยความตั้งใจ โฟกัสในสิ่งที่ทำแบบที่มาร์คเป็น นั้น เราก็เห็นผลแล้วว่ามาร์ค ประสบความเร็จเพียงใดจากเริ่มต้น แล้วโฟกัสในสิ่งที่ทำเป็นอย่างมาก จนมาเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดของอเมริกา ที่สร้างตัวมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่รับมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลแต่อย่างใด
ผมว่า เรื่องนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้หลายๆ ท่านได้ ในการที่เราจะลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ อะไรก็ตาม มันต้องเริ่มต้นทำ และทำทันที เพราะการมัวแต่คิด ๆ แล้วไม่ได้ทำซักที นั้นก็ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จได้เมื่อไหร่ และที่สำคัญคือการโฟกัสในสิ่งที่เราทำ หากเราทุ่มเทให้กับมัน เหมือนที่มาร์คทำกับ facebook ผมคิดว่าก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนที่มาร์ค แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าที่มาร์คทำก็ตาม รวมถึงแรงบรรดาลใจให้เหล่าสตาร์ทอัพ และ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ของประเทศไทย
1
blockdit เครือข่ายสังคม online มาแรงของประเทศไทย
ยกตัวอย่าง blockdit ที่แห่งนี้ ที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน เป็นสังคมใหม่ แม้จะมาแข่ง facebook ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า คนไทยก็ทำได้ไม่แพ้สิ่งที่มาร์ค เคยทำไว้กับ facebook และ blockdit กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ และผมเชื่อว่า วันหนึ่ง blockdit นั้นจะประสบความสำเร็จทั้่งในเรื่องธุรกิจ และ จำนวนผู้ใช้งาน จนเป็นที่กล่าวถึงให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เหมือนที่เราได้เรียนรู้จาก blog series ชุดนี้อย่างแน่นอน
อ่านตอนพิเศษ : The Social War
รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
Credit แหล่งข้อมูลบทความ
ช่องทางติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา