19 ธ.ค. 2018 เวลา 04:15 • บันเทิง
ภาพยนตร์ Netflix
The Cloverfield Paradox
บอกไว้ก่อนเลยว่าผมชอบภาพยนตร์ชุด CLOVERFIELD มากๆ ตั้งแต่ภาคแรก ผมประทับใจสุดๆ ทั้งพล๊อตเรื่อง การดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะวิธีการเล่าเรื่องที่มีเสน่ห์มากๆ จนทำให้ผมหลงรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ภาคสองอย่าง 10 CLOVERFIELD Lane เอง ถึงจะต่างจากภาคแรกค่อนข้างมาก (เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหมือนเลย นอกจากอยู่ในจักรวาลเดียวกัน) แต่ตัวหนังเองก็สนุกสุดๆ แถมดูง่ายกว่าภาคแรกมากๆ
และทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไป พอจะเดาออกไหมว่าผมคาดหวังกับภาคนี้ไว้มากแค่ไหน
แต่ผลลัพท์ออกมา ไม่น่าพอใจสำหรับผมเลยสักนิด
เรื่องย่อคือ พลังงานกำลังจะหมดโลก ทุกประเทศในโลกจึงรวมตัวกันสร้างยาน CLOVERFIELD ขึ้น โดยยานลำนี้คือเครื่องยิงอนุภาคขนาดมหึมา มันถูกสร้างขึ้นเพื่อยิงลำแสงอนุภาคไปที่เครื่องรับบนโลก หากสำเร็จ โลกจะมีพลังงานมากพอสำหรับทุกคน จนแทบจะเรียกว่าเป็นอนันท์
แต่การทดลองล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี จำนวนพลังงานที่จะใช้ยิงอนุภาคเหลือแค่ 3 ครั้ง ตัวเลขทุกอย่างถูกคำนวณอีกครั้ง และทำการยิงอีกรอบ รอบนี้การยิงสำเร็จ แต่เกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้กระบวนการทุกอย่างหยุดลง เมื่อดำเนินการแก้ไข ทุกอย่างกำลังจะเข้าสู่สภาวะปกติพวกเข้าก็พบว่า “โลกหายไป”
เกิดอะไรขึ้น? เป็นเราที่เคลื่อนย้าย? หรือเป็นโลกที่ถูกย้าย? หรือเลวร้ายที่สุด พวกเขาอาจจะเผลอทำลายโลกทิ้งไปแล้ว.....
เสน่ห์ของภาพยนตร์ชุด CLOVERFILED คือการเล่าเรื่องภาพยนตร์ชุดนี้ คือ “เหตการณ์หลัก” เกิดขึ้น แต่หนังจะไปโฟกัสที่ “เหตุการณ์รอง” แทน
ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเรื่อง ก็อดซิลล่า
ในขณะที่ตัวเรื่องหลักกำลังเล่าเรื่องตัวก๊อดซิลล่า และ/หรือคู่ปรับของมันอย่างสัตว์ประหลาดอีกตัวนึง ไม่ก็มนุษย์ที่มีบทบาทกำจัดเหล่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ การเล่าเรื่องของ CLOVERFILED จะหันไปเล่าเรื่องของคนที่กำลังหนีตาย ซึ่งเป็นเรื่องรองแทน
แน่นอน ตัวเอกของเรื่องรองที่เอากันจริงๆ แล้วก็คือตัวประกอบของเรื่องหลักจะแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเลย เป็นแค่คนดวงซวยที่แค่ใช้ชีวิตปกติสุขของตัวเอง มีเรื่องราวของตัวเอง ที่มี ทุกข์/สุข/รัก/เกลียด ดั่งปุถุชนทั่วไป แต่ดันเกิด “เหตการณ์หลัก” ขึ้นจนชีวิตต้องเผชิญสิ่งไม่คาดคิด และเกิดเรื่องราวขึ้น
ด้วยเสน่ห์นี้ทำให้คุณสามารถดูภาคไหน ก่อน – หลัง ก็ได้ ไม่ต้องรู้เรื่องภาคอื่นๆ เลยก็ได้ ที่จริงไม่รู้เลยต่างหากคือดีที่สุด
โดยภาค The CLOVERFILED Paradox นี้จะมีโทนเรื่องไปทางสยองขวัญ ไขปริศนา ในฐานะหนังที่เซอไพรส์คนดูแทบจะตลอดเวลา เดาเนื้อเรื่องแทบไม่ได้เลย หนังเรื่องนี้ทำได้ดีทีเดียว ค่อนข้างสนุกด้วย แต่ก็มีจุด “จะมีตรงนี้ไปทำไม?” อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าใครชอบดูหนังแบบตรรกะจ๋าอาจหงุดหงิดได้
โดยรวมๆ แล้ว หนังสนุกนะ แต่ก็แค่กลางๆ อาจจะค่อนไปทางบนด้วยซ้ำ แต่ผิดที่ผมเองมากกว่าที่หวังมากไป จนกลายเป็นผิดหวัง จนสำหรับผม เรื่องนี้เป็นแค่ส่วนเติมเต็มเนื้อเรื่องหลักเท่านั้นเอง
คนที่อ่านจนตรงนี้คิดว่าน่าสนใจ ไปดูได้เลย ฉายแล้วบน Netflix ใครมีไอดีอยู่แล้วก็ดูโลด ใครยังไม่มีก็สมัครซะ มันฟรีเดือนนึง แต่ไหนๆ ก็สมัครแล้ว อยู่ยาวๆ ไปเลย ค่าใช้จ่ายเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่หนังกับซีรี่ดีๆ เพียบ คุ้มค่าแน่นอน (โฆษณาให้ขนาดนี้ถามว่าเค้าจ่ายมั้ย? ก็ไม่)
สำหรับคนที่ติดตาม CLOVERFIELD อยู่แล้ว มันคือของที่ต้องดูอะ ดูๆ ไปเถอะ
ส่วนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ แต่ไม่ได้รู้สึกอยากดู ก็ไม่จำเป็นไปหาดู มันไม่ได้น่าขวนขวายมาดูขนาดนั้น
แต่ถ้าสนใจ แต่ยังติดคำว่า “สยองขวัญ” จนไม่กล้าดู ไปดูเถอะ มันไม่ได้สยองขวัญขนาดนั้น
และสุดท้าย นี่ไม่ใช่หนังครอบครัว ไม่เหมาะกับการให้เด็กเล็กๆ ดูหรอก ข้ามไปเลย
สำหรับโพสต์นี้ ก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
โฆษณา