30 ธ.ค. 2018 เวลา 08:18
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด!
2
เรื่องจริงจาก โรงเรียนอัสสัมชัญ
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร" ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก 'รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่' วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539
"มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่าน ที่หน้าห้องรับรองค่ะ"
1
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้ มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูสาวประจำระดับชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่ง เพียงท่านเดียวในวันนี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ มิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
"ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่ มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา"
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมด ครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้น มีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่เล่าวันนั้น มีดังต่อไปนี้
วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่อง แล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาด ล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่ และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
"ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร ?"
1
มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ 'ลูกชาย' ของคุณแม่ท่านนั้น
"ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร"
คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ ่ขาดสะบั้นลง!' คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส สติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อย และบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก จนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด
ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน
ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคน หันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย
แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
ผลของการรักษาคือ คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม แทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหัก ต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ถามขึ้นอีกว่า
"นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ ?"
"กล้าหาญมาก" เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกัน พลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า 'ลูกชาย' ของคุณแม่ แล้วพูดต่อว่า
"นักเรียนทราบมั้ยคะ ว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน...ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิคะ"
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
"วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"
"จริงครับ ๆ ใช่ครับ ๆ" เสียงเล็ก ๆ ตอบมาเป็นทางเดียวกัน
"มิสได้ทราบมาว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน...คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ"
มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
"ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ ?"
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดี หนักใจอยู่เหมือนกันว่า หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?
เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญ และจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง ใครเล่า จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด หากบัดนี้ ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ได้สลายปมด้อยในใจ ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว 'ลูกชาย' เข้าไปคุยอีกครั้ง
"วันนี้เรามีอะไรในใจ ที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ ?"
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
"ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"
1
รู้ไหมน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมา
ต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย
กอดเลยไม่ต้องอาย
ก่อนไม่มีแม่...ให้กอด
[ บทความนี้ได้คัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่นนานมาแล้ว จึงไม่ได้อ้างอิงถึงเว็บไซต์ต้นฉบับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ แต่ด้วยเจตนาดีที่เห็นว่าบทความนี้เป็นบทความดีๆ...แฝงข้อคิด จึงอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ ]
โฆษณา