3 ม.ค. 2019 เวลา 23:45 • บันเทิง
บ้านเก็บศพ
เรื่อง บ้านเก็บศพ
โดย…บัวบูชา…
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 2 ปีน่าจะได้ครับ ตอนนั้นผมทำงานเป็นคนส่งเอกสารอยู่บริษัท บริษัทหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกอยากหางานใหม่หรืองานเสริมทำขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะค่าแรงที่ได้มาในแต่ละเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่เดือนเอาเสียเลย
ผมเลยไปปรึกษาพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง พี่คนนั้นชื่อ พี่อาจ พี่เขาเป็นคนขว้างขวางพอสมควรผมว่าพี่อาจคงช่วยผมได้ไม่มากก็น้อย
และก็เป็นอย่างที่ผมคิดเมื่อพี่อาจโทรมาหาผม หลังจากที่ผมไปปรึกษาพี่เขาได้ไม่ถึงอาทิตย์ พี่อาจบอกว่ามีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยากให้หาคนไปช่วยดูแลบ้านให้ท่านหน่อย ค่าแรงค่อนข้างดีพอสมควร แถมหน้าที่ยังมีแค่ เก็บหนังสือพิมพ์รายวันเข้าบ้าน รดน้ำต้นไม้ เปิดไฟช่วงเย็น เช้าเจ้าของบ้านจะมาปิดไฟเอง ดูแลปัดกวาดบ้าน เท่านั้นเอง ผมก็เลยรีบรับปากพี่อาจทันที และพร้อมจะเริ่มงานเมื่อเจ้าของบ้านต้องการ
สองวันต่อมาผมเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อเริ่มงานวันแรก ลักษณะของบ้าน จะเป็นบ้านเดี่ยวสามชั้น อยู่ท้ายสุดของซอย หน้าบ้านจะเป็นสนามหญ้ารกร้างกว้างๆ และห่างไกลจากบ้านหลังอื่นๆ พอสมควร ตอนแรกผมก็แอบแปลกใจว่าทำไมมาสร้างบ้านห่างไกลจากผู้คนนัก ผมก็เลยคิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าเจ้าของบ้านอาจจะเป็นคนรักความสงบก็ได้มั้ง พอมาถึงหน้าบ้านและสำรวจบริเวณ รอบๆ บ้านได้สักพัก ผมก็โทรไปหาพี่อาจ พี่อาจบอกให้ผมเอากุญแจบ้านที่พี่อาจให้ไขเข้าไปได้เลย ผมทำทำตามที่พี่อาจบอกทันที
พอเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นว่าภายในบ้าน มีเก้าอี้ และข้าวของเครื่องใช้ตามปกติ เหมือนกับบ้านทั่วๆไป แต่เสมือนกับถูกดูแลมาเป็นอย่างดี ภายในบ้านก็จะมีชั้นลอย แต่ทางผู้ใหญ่ท่านนั้นฝากพี่อาจมากำชับผมว่า ให้ดูและเฉพาะชั้น 1 เท่านั้น ชั้นลอย ชั้น 2 และชั้น 3 ห้ามขึ้นไปยุ่งโดยเด็ดขาด ผมปฏิบัติตามทุกอย่าง ทำอย่างนี้มาเป็นเวลาเกือบ 1 อาทิตย์
แต่ทุกวัน เวลาที่ผมเข้าไปที่บ้านหลังนี้ ผมมักจะมีความรู้สึกแปลกๆ ผมรู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่บนชั้นลอยห่างจากตัวระเบียงชั้นลอยสักสองก้าวน่าจะได้ เขาคอยชะโงกหัวลงมามองผม แต่พอผมมองกลับไปก็ไม่เห็นใคร เห็นเพียงความมืด เพราะชั้นลอยนั้นจะปิดไฟไว้ตลอด เพราะผมไม่กล้าขึ้นไปยุ่งเพราะกลัวเจ้าของบ้านเขาว่าเอา
และผมเองก็เป็นคนค่อนข้างขี้กลัว ผมก็เลยรีบทำงานให้เสร็จ และก็กลับบ้านให้เร็วที่สุดเลยไม่คิดที่จะขึ้นไปข้างบน เพราะตัวบ้านหลังนี้อยู่ห่างจากผู้คนและบ้านหลังอื่นมากผมเลยต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืด ผมทำอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ
จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมก็ทำเหมือนกับทุกๆ วัน พอไปถึงผมก็เก็บหนังสือพิมพ์เข้าบ้านตามปกติ แต่วันนี้ผมรู้สึกแปลกๆระหว่างที่ผมเช็คพวกปลั๊กไฟ สวิตซ์ไฟ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเอาไม้เท้ากระทุ้งกับพื้น “ตึง ตึง” ผมสะดุ้งสุดตัวกับสิ่งที่ได้ยิน และรีบหันขึ้นไปมองตามเสียงนั้นทันที ซึ่งเสียงนั้นมาจากชั้นลอยของบ้าน สิ่งที่ผมเห็นคือ ชายแก่ๆ ยืนถือไม้เท้ามองผมอยู่สักประมาณ 5 วินาทีน่าจะได้ ผมตกใจและนึกสงสัยว่ามีคนอยู่บนนั้นหรือป่าว แต่ตอนที่ผมตกลงรับงานก็ไม่มีใครบอกผมว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่หรือไม่มีคนอยู่ แต่ผมคิดว่าต้องมีคนอยู่ที่ชั้น 2 แน่ๆ เพราะตอนแรกที่เข้ามาทำงานที่บ้านหลังนี้แรกๆ เจ้าของบ้านก็กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ให้ขึ้นไปชั้น 2 อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้ใครขึ้นไปรบกวน
ผมก็ทำงานไปเรื่อยๆ จนเดือนกว่าๆ ตลอดที่ผมทำงานผมก็นึกสงสัยว่าข้างบนบ้านนั้นมันมีอะไร
และก็มีอยู่วันหนึ่ง ผมมาทำงานช้า เพราะติดธุระทางบ้านนิดหน่อย ตอนนั้นก็ประมาณทุ่มกว่าๆ ผมก็เข้าไปตรวจเช็คความเรียบร้อยของบ้านตามปกติ แต่วันนี้ผมตั้งใจกับตัวเองแล้วว่า ผมต้องขึ้นไปดูข้างบนให้ได้ว่าข้างบนนั้นมีคนอยู่หรือเปล่า ความอยากรู้ที่ผมสะสมมากว่าหนึ่งเดือน ผมจะต้องรู้ความจริงวันนี้ให้ได้ และที่ผมอยากขึ้นไปข้างบนนั้นเพราะ เวลาที่ผมเข้ามาทำงานที่บ้านหลังนี้ผมจะรู้สึกเหมือนมีคนมองผมจากด้านบนตลอดทุกครั้งที่ผมทำงานเสร็จ ก่อนกลับผมก็จะบอกตลอดว่า
“ผมเปิดไฟให้เรียบร้อยแล้วนะครับ หนังสือพิมพ์ก็อยู่บนโต๊ะนะครับ” คำพูดของผมนั้นเปรียบเสมือนเป็นการบอกในๆ ว่าผมจะกลับแล้ว
และวันนี้พอผมพูดเหมือนดั่งเช่นทุกวัน ผมกลับเดินขึ้นไปบนชั้น2 แทนที่จะเดินออกประตูไป ผมก้าวเท้าขึ้นมาตามขั้นบันไดเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกวังเวง เสียวสันหลังยังไงชอบกล อาจจะเป็นเพราะความเงียบสงัดของบ้านหลังนี้ ที่อยู่ห่างไกลจากบ้านหลังอื่นมากก็ได้ ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบยิ่งวังเวงขึ้นทุกที
ในขณะที่ผมเดินขึ้นบันได ผมก็ได้ยินเสียงไม้เท้ากระทุ้งกับพื้นอย่างแรง “ตึง ๆ ๆ”
ผมเลยมั่นใจว่า ยังไงก็ต้องมีคนอยู่แน่ๆ ผมเดินต่อไปจนขึ้นไปถึงชั้นลอยของบ้าน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร เห็นเพียงเก้าอี้หวายที่นั่งแล้วสามารถโยกได้ตั้งอยู่ ตอนนั้นผมมีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือนำทางเท่านั้น ผมเลยสาดแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือไปมา แล้วก็ต้องหยุดที่โต๊ะขนาดเล็ก ซึ่งตั้งอยู่ข้างเก้าอี้หวาย
บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์ที่ผมเก็บเข้าบ้านมาทุกวันวางอยู่ ผมมั่นใจเลยว่าต้องมีคนอยู่ข้างบนและหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านแน่นอน จังหวะที่ผมกำลังมองหนังสือพิมพ์อยู่สักพัก เก้าอี้หวายก็โยก “ออด แอด” เหมือนกับว่ามีคนไปนั่งมัน ผมสะดุ้งสุดตัว ทำให้โทรศัพท์ในมือของผมร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ผมรีบตั้งสติและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่อง ดูรอบๆ แต่ผมก็ไม่เห็นใครแม้สักคน แม้แต่ลมพัดสักแอะก็ไม่มี แต่ถึงลมจะพัดเก้าอี้หวายก็ไม่น่าโยกหรือขยับได้
ตอนนั้นผมรู้สึกใจไม่ค่อยดี เพราะทุกครั้งที่ผมมาทำงานผมจะมีความรู้สึกว่าข้างบนจะมีคนอยู่ แต่นี่ผมขึ้นมาสักพักแล้วกลับไม่เจอใครเลย ผมก็เลยพูดขึ้นว่า
“ขอโทษนะครับ ผมขอขึ้นมาดูข้างบนหน่อย เผื่อมีอะไรให้ผมช่วย”
พอผมพูดเสร็จก็ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด มีเพียงลมเย็นๆ เข้ามาปะทะที่หน้าของผมเท่านั้น ผมเลยตัดสินใจเดินขึ้นไปเพื่อที่จะไปดูชั้น2 ของบ้าน
ขณะที่ผมเดินขึ้นไป เชื่อไหมฝุ่นเยอะมาก เหมือนกลับไม่เคยมีใครเดินขึ้นเดินลงเลย ผมเดินต่อขึ้นไปจนถึงชั้น 2 โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของผมล่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นอีกรอบ ผมเห็นเตียงนอนซึ่งข้างๆ เตียงนอนนั้น มีโลงศพติดแอร์ตั้งอยู่ บนเตียงก็มีรูปกับกระถางธูปตั้งอยู่ ภาพตรงหน้าทำให้ผมถึงกับช็อค ผมทำอะไรไม่ถูก ผมจะวิ่งดี หรือว่าจะดูให้รู้แล้วรู้รอดว่ารูปตรงหน้าของผมเป็นรูปของใคร สิ้นความคิดผมรวบรวมสติที่มันยังคงเหลืออยู่ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องรูป เพื่อดูว่าเป็นรูปของใครกัน ผมสาดแสงไฟไปที่รูป และก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีเสียงผู้ชายแก่ๆ ดังขึ้น “มึงออกไปจากบ้านกู”ผมรีบวิ่งลงบันไดด้วยความตกใจและกลัวมาก พอผมวิ่งมาถึงชั้นลอยหางตาของผมดันไปเห็นชายแก่คนนั้นนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หวาย มือข้างหนึ่งของเขาถือไว้เท้าและชี้มาที่ผม ดวงตาของเขาดูดุดัน เหมือนเขาโกรธผมมากที่ขึ้นมาข้างบนนี้ ทีนี้ผมวิ่งไม่คิดชีวิตเลยครับ ตกบันไดลงลุกคลุกคลานยังไงผมก็ต้องออกมาจากบ้านให้เร็วที่สุด
พอผมถึงบ้านผมรีบโทรหาพี่อาจ ผมถามพี่อาจทันทีว่า
“บ้านหลังนั้นมีคนอยู่หรือว่าอะไร ทำไมผมเห็นโลงศพอยู่ชั้น 2”
พี่อาจบอกให้ผมใจเย็นๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน พอเช้าผมรีบไปหาพี่อาจทันที พี่อาจเล่าให้ผมฟังว่า บ้านหลังนั้นเดิมทีเป็นบ้านของ อาแปะคนนึง ซึ่งแกอยู่ที่บ้านหลังนี้มานานแล้วและรักบ้านหลังนี้มาก แล้วแกก็เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ ลูกหลานก็เลยนำศพของแกไว้ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลา 100 วัน และถึงจะนำไปประกอบพิธีทางศาสนา
ตอนนั้นผมโกรธพี่อาจมากที่เขาไม่ยอมบอกผม ให้ผมต้องมาดูแลบ้านที่เก็บศพ ให้ผมต้องไปอยู่บ้านเดียวกับศพวันละหลายๆ ชั่วโมง ให้ผมต้องเจอกับสิ่งที่ผมกลัวที่สุด และที่เจ้าของบ้านให้ผมเก็บหนังสือพิมพ์เข้าบ้านทุกวันๆ ก็เพราะอาแปะแกเป็นคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์ แก่ต้องอ่านทุกวันเหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันของแก พอผมรู้เรื่องราวทั้งหมดผมก็ขอลาออกทันที
ผมคิดว่าถ้าผมทำต่อผมคงต้องเจอดีกว่านี้แน่ ขนาดลูกหลานของเขายังไม่กล้ามาที่บ้านหลังนี้นานๆ เลย เขามาเพียงปิดไฟตอนเช้าแล้วก็กลับทันที แต่ผมละต้องอยู่บ้านหลังนี้วันละตั้งหลายชั่วโมง ผมลาออกกะทันหันทางผู้ใหญ่ที่จ้างผมไม่ว่าผมสักคำและยอมจ่ายค่าจ้างที่ค้างไว้
ปัจจุบันผมผ่านไปที่บ้านหลังนั้น เห็นป้ายปิดประกาศขายอยู่ ผมคิดว่าลูกหลานคงเอาศพของอาแปะไปประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว และบ้านหลังนี้ก็คงไม่มีใครกล้าอยู่ เพราะเป็นบ้านที่เก็บศพมาก่อน ก็เลยประกาศขาย
โฆษณา