13 ม.ค. 2019 เวลา 05:25 • กีฬา
การเจอกับไบรท์ตัน โจทย์ของลิเวอร์พูลมีอย่างเดียวคือต้องชนะ สกอร์เท่าไหร่ไม่สำคัญ ชนะสวยหรือน่าเกลียดแค่ไหนก็ไม่สน และนี่คือบทสรุป 20 ข้อ จากเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนนี้
1) ลิเวอร์พูลเกมนี้ ไม่มี 3 เซ็นเตอร์แบ็กที่เจ็บหมด (ลอฟเรน, โกเมซ ,มาติป) ทำให้ต้องใช้ฟาบินโญ่ เล่นเซ็นเตอร์ เหมือนเกมแพ้วูล์ฟส ในเอฟเอคัพ แต่แทนที่จะจับคู่กับ เจ้าหนู คีจาน่า ฮูเวอร์วัย 16 คราวนี้ ฟาบินโญ่ เล่นสบายขึ้นเยอะ เมื่อได้ยืนคู่กับเวอร์จิล ฟาน ไดค์
2) เจอร์เก้น คล็อปป์ วางแนวรุก 4 ตัวเก่งลงเล่นเสมอ ถ้าต้องเจอกับคู่แข่งที่เกมรับไม่แข็งแกร่งมากนัก เหมือนอย่างถล่มนิวคาสเซิล หรืออาร์เซน่อล ก่อนหน้านี้ คือ เขาเชื่อมั่นว่าด้วยพลังของโม ซาลาห์ , ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ เซอร์ดาน ชาคิรี่ อย่างไรก็ต้องเจาะไบรท์ตันได้แน่นอน
3) คล็อปป์อาจให้สัมภาษณ์ดูสบายๆ แต่เขาเครียดแน่ หลังจากทีมแพ้มา 2 เกมติด นอกจากนั้น หงส์กับเดือนมกราคมก็ไม่ค่อยถูกกัน ฤดูกาลที่ราฟา เบนิเตซ พาลิเวอร์พูลที่ 2 (2008-09) จบธันวาคมก็นำอยู่ดีๆ แต่พอมกราคมปั๊บ ทีมหลุดวงโคจรเฉยเลย เช่นเดียวกับซีซั่นที่ 2 ของคล็อปป์ (2016-17) ในเดือนมกราคม เขาพาทีม ลงเล่น 9 นัด ชนะแค่ 1 เกม ดังนั้น นัดนี้เป้าหมายเดียวคือ ต้องชนะ เพื่อทำให้ทีมมั่นใจขึ้น และลบล้างอาถรรพ์พรรค์นั้นให้หมดไปด้วย
4) สิ่งที่น่าตกใจคือกลยุทธ์ของไบรท์ตันในเกมนี้ พวกเขาเล่นในบ้านตัวเองก็จริง แต่ไม่อายที่จะเล่นเกมรับอย่างเดียว ผ่านไป 20 นาทีแรก เปอร์เซ็นต์การครองบอลของหงส์ คือ 78% ไบรท์ตัน ไม่เพรสซิ่ง ไม่กดดันอะไรทั้งสิ้น แต่ถอยต่ำอย่างเดียว หงส์จะเคาะก็เคาะไป อยากได้เปอร์เซ็นต์การครองบอลก็เอาไป แต่พวกเขาไม่ปล่อยให้บอลหลุดมาถึงเขตโทษได้
5) ไบรท์ตัน มาในระบบ 4-5-1 แล้วกองหน้าตัวเดียว เกล็น เมอร์เร่ย์ ก็ถอยลงมาต่ำเหมือนเป็นกองกลาง ในระบบ 4-6-0 คือมันแน่นไปหมด เล่นได้อึดอัดไปหมด ลิเวอร์พูลได้แต่เคาะไปเคาะมา จนมีจำนวนการจ่ายบอลที่ 460 ครั้งในครึ่งแรก (ไบรท์ตัน ครึ่งแรกจ่ายบอลไป 132 ครั้ง) มากกว่ากันเกิน 3 เท่า
6) ครึ่งหลัง สิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องคิด คือทำอย่างไร ถึงจะเจาะได้ ซึ่งการแพ็กแน่นแบบนี้ มีวิธีเจาะอยู่ 3 แบบ คือ 1) กองหลังคู่แข่งพลาดเอง 2) ลูกเซ็ตพีซ และ 3) ความสามารถมหัศจรรย์ของผู้เล่น
ข้อ 1 กองหลังของไบรท์ตันยังเหนียวแน่นไม่มีข้อผิดพลาดให้เห็น ส่วนข้อ 2 การป้องกันเซ็ตพีซของไบรท์ตัน ก็ทำได้แน่นปึ้กมากๆ ดังนั้น ก็ต้องใช้ข้อ 3 คือทักษะเฉพาะตัวของผู้เล่นในการลุยเข้าไป
7) ประตูนำ 1-0 เกิดขึ้นจากทักษะเพียวๆของซาลาห์ ที่เลี้ยงวนจนหลุดไปได้ง้างเท้ายิง ลูกนี้ปล่อยไป โอกาสโดน ก็สูงลิบ ดังนั้นปาสกาล โกรส จึงตามมาเหนี่ยวจากด้านหลัง ซึ่งลูกนี้ 100% เป็นจุดโทษแน่นอน กรรมการอยู่ตรงนั้น และเห็นว่าซาลาห์ล้มลงไปแบบผิดธรรมชาติ ก่อนที่ซาลาห์จะลุกขึ้นมายิงด้วยตัวเองอย่างมั่นใจ เรียกจุดโทษเอง และทำประตูเอง
8 )เกมนี้ผู้ตัดสินคือเควิน เฟรนด์ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงเกมนี้ ลิเวอร์พูลได้ประโยชน์เยอะจากการตัดสิน จังหวะ 50-50 เทไปให้ฝั่งหงส์หมดเลย อย่างมีลูกนึงที่บอลไม่น่าจะโดนนักเตะไบรท์ตัน แต่เขาก็ให้เตะมุมลิเวอร์พูล คืออาจจะไม่ได้ตั้งใจเอียงหรืออะไร แต่จังหวะการตัดสินมันเป็นใจให้หงส์จริงๆ (อย่างไรก็ตามจุดโทษถือว่าเคลียร์นะ)
สถิติของเควิน เฟรนด์ ก่อนหน้านี้เคยตัดสินไบรท์ตันมา 3 เกม (แมนฯยู, เวสต์แฮม, พาเลซ) ปรากฏว่า ไบรท์ตันชนะ 100% ดังนั้นนี่เป็นเกมแรกในซีซั่นนี้ ที่เควิน เฟรนด์ตัดสิน แล้วไบรท์ตันแพ้
9) พอสกอร์นำ 1-0 คราวนี้ โจทย์ก็เปลี่ยนไปแล้ว ไบรท์ตัน จะมาตั้งเกมรับแบบเดิมก็ไม่ได้ กองหลัง และกองกลาง มีการดันขึ้นมาสูง จนถึงกรอบเขตโทษ คราวนี้ล่ะ ลิเวอร์พูลจะได้โอกาสสวนบ้าง เราจึงเห็นทีมหงส์แดง ได้โอกาสจบเยอะกว่าเดิม มีช็อตที่ฟีร์มีโน่ ลากลุยจนได้ยิงนอกเขตโทษ รวมถึงจังหวะที่ซาลาห์ยิงจ่อๆหลุดกรอบ
10) ใครเห็นฟอร์มฟาบินโญ่ วันนี้ก็คงทึ่ง เพราะเขา เล่นได้โอเคมากในบทบาทเซ็นเตอร์แบ็ก ได้ครองบอลเยอะ เขาจ่ายบอลมากถึง 110 ครั้งในเกมนี้ จ่ายเข้าเป้า 85.5% นอกจากนั้น ยังเคลียร์บอลในจังหวะอันตรายได้ 5 ครั้ง บล็อกลูกยิงคู่แข่งอีก 2 หน อย่างไรก็ตาม อยากให้คิดว่า มันเป็นแค่ตำแหน่งเฉพาะหน้า เจอคู่แข่งแกร่งๆ ฟาบินโญ่เอาไม่อยู่หรอก แมตช์นี้เพราะเป็นไบรท์ตันที่เกมบุกไม่ดีก็เลยเล่นง่าย
11) แฟนหงส์ที่อังกฤษ แซวกันใหญ่ว่า ตอนนี้ฟาบินโญ่เก่งกว่าเดยัน ลอฟเรนเสียอีก ซึ่ง อย่างที่บอก เกมเจอไบรท์ตัน มันวัดอะไรไม่ได้หรอก เขายังไม่ได้เกมรุกคู่แข่งโหมหนักๆเลย ส่วนตัวคิดว่า ถ้า CB อาชีพกลับมา ฟาบินโญ่ก็ต้องกลับไปเล่นตำแหน่งเดิม และจากสไตล์ของเขามิดฟิลด์ตัวรับนี่แหละเหมาะสุดแล้ว
12) คล็อปป์ทำการบ้านไบรท์ตันมาแน่นอน และเขารู้ว่า ไบรท์ตันไม่ได้มีจุดเด่นเรื่องจังหวะโอเพ่นเพลย์ แต่เก่งเรื่องลูกนิ่ง คู่เซ็นเตอร์ของทีม เชน ดัฟฟี่ กับ ลูอิส ดั๊งค์ ซีซั่นนี้ โหม่งเข้าประตูไปแล้ว คนละ 2 ลูก ดังนั้น สิ่งที่หงส์ระวังมากที่สุด คือไม่ให้เสียฟรีคิก และเสียเตะมุม ทั้งเกมลิเวอร์พูลทำฟาวล์แค่ 5 หนเท่านั้น และปล่อยให้เสียเตะมุม 2 ครั้ง วิธีป้องกันลูกนิ่งที่ดีที่สุด คืออย่าปล่อยให้คู่แข่งได้เล่นแต่แรก
13) เกมผ่านมา 70 นาที ไบรท์ตัน ส่งสองตัวรุกลงไปเพิ่ม (แอนโธนี่ น็อกการ์ต, ฟลอร็องต์ อันโดเน่) สำหรับลิเวอร์พูลไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอาลูก 2 เพิ่ม จึงถอดเอา เซอร์ดาน ชาคิรี่ ที่วันนี้เล่นไม่ออก (สถิติชาคิรี่ ลง 72 นาที จ่ายบอลแค่ 30 ครั้ง ยิงไม่เข้ากรอบเลยสักหน) แล้วส่งเจมส์ มิลเนอร์มาคุมจังหวะตรงกลางแทน เกมนี้มิลเนอร์ลงมาสั้นๆ แต่เล่นดี เขาเกือบแอสซิสต์ให้ซาลาห์ยิงได้
 
14) ถามว่าวิตกไหม ที่หงส์จะเสมอเกมนี้ คำตอบคือไม่ ตั้งแต่ยิงประตูขึ้นนำ เมื่อดูจากทรงเกมรู้ว่าเกมนี้จบแล้ว ไบรท์ตันไม่มีมุกอะไรที่จะยิงทวงคืนได้ ที่สำคัญ เกมรับลิเวอร์พูลคือของจริง ในเกมเจอแมนฯซิตี้ 2 ประตูที่พวกเขาเสีย คือความมหัศจรรย์ของอเกวโร่ กับ ลูกยิงที่ซาเน่ ซัดเบียดมุมชนเสาเข้า คือคุณต้องยิงยากระดับนี้ ถึงจะผ่านแนวรับลิเวอร์พูลได้ แล้วไบรท์ตัน เป็นทีมที่ไม่ได้เด่นเรื่องเกมรุกอยู่แล้ว ทั้งซีซั่นยิงไปแค่ 24 ลูก ดังนั้น สำหรับหงส์แดง จึงไม่มีอะไรที่น่ากังวล พอยิงนำได้เกมก็โอเวอร์แล้ว
1
เกมนี้ ดูจากสกอร์เหมือนจะเสียว เบียดกันแค่ 1 ลูก แต่ ถ้าดูตามเกม ไม่ได้ระทึกขนาดนั้น หงส์เก็บกินหมด
15) นัดนี้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย เขาบัญชาเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม ท้ายเกม ตอนตะโกนสั่งเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้รักษาไลน์ป้องกัน แสดงให้เห็นบุคลิกความเป็นผู้นำ ขณะที่การเล่นเกมรุกนั้น เขาก็มีส่วนเช่นกัน นัดนี้ เขาเป็นคนที่จ่ายบอลมากที่สุดในสนามที่จำนวน 131 ครั้ง นั่นเพราะ เวลากองกลางของทีมไม่มีไอเดียในการเจาะ ก็จะถอยกลับมาพักบอล ที่ฟาน ไดค์ก่อน คือรู้ว่า บอลอยู่กับฟาน ไดค์ไม่เสียอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงมีอิทธิพล ทั้งเกมรับและเกมรุก
16) ขณะที่กองกลาง ไวจ์นัลดุมเกมนี้อาจดูเงียบ แต่เขาเล่นได้ชัวร์มาก เกมนี้จ่ายบอลเข้าเป้า 95.5% (จ่ายบอล 88 หน เข้าเป้า 86 หน) ส่วนเฮนเดอร์สัน ครึ่งแรกอาจมีเสียสมาธิ จ่ายบอลเสีย แต่พอครึ่งหลัง เขาโฟกัสมากขึ้น กลับมาอยู่ในเกมมากขึ้น และ เล่นได้ดีไปจนจบ 90 นาที
17) ท้ายเกมคล็อปป์ เปลี่ยนตัวตามกลยุทธ์ ถอดเอาซาดิโอ มาเน่ออก แล้วส่งนาบี เกอิต้า ลงมาเพื่อทำให้มิดฟิลด์แน่นขึ้น แต่เกมนี้ เกอิต้า มีช็อตเล่นพลาดจะจะให้เห็น ในช่วงท้ายเกม เขาได้บอลกลางสนาม แทนที่จะออกบอลเร็ว ดันจะเลี้ยงผ่านคู่แข่ง แล้วพอโดนแย่งบอล แทนที่จะวิ่งไล่กวด กลับหยุดเล่นเฉยๆ จนโดนไบรท์ตันสวนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า เขายังขาดความเข้าใจอยู่พอควร
ขณะที่ดิว็อค โอริกี้ ลงมาตอนทดเจ็บนาทีสุดท้ายแทนซาลาห์ นี่เป็นกลยุทธ์การฆ่าเวลาธรรมดา โอริกี้ ไม่ได้สัมผัสบอลเลยแม้แต่หนเดียว
18) ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลชนะคู่แข่งด้วยสกอร์ 1-0 แค่ 3 นัดเท่านั้น เป็นการเจอเอฟเวอร์ตัน 1 นัด (ที่พิคฟอร์ดพลาด แล้วโอริกี้โหม่งเข้าช่วงทดเจ็บ) ส่วนอีก 2 นัด เป็นการเจอกับไบรท์ตัน ทั้งเหย้าและเยือน คือมันแปลว่า ไบรท์ตันทีมนี้ไม่หมู อาจจะเกมรุกไม่ดี แต่พวกเขา "เขี้ยว" และไม่ยอมเสียประตูง่ายๆ
19) ทั้งซีซั่นไบรท์ตัน เสียประตูไปแค่ 30 ลูก เสียน้อยกว่า ทั้งอาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียอีก มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีวินัยในเกมรับ และการที่หงส์แดงบุกมาชนะได้ ถือว่าโอเคมากแล้ว
ในเกมฟุตบอล คุณไม่สามารถไล่ถล่มคู่แข่งได้ทุกนัด มันต้องมีเกมที่ตื้อ หนืด และน่าอึดอัดเป็นธรรมดา การได้สามแต้มจากเกมอึดอัดแบบนี้ คือคุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์ได้
20) จากนี้ ลิเวอร์พูล จะได้เล่นในแอนฟิลด์ 2 เกมติดกัน เริ่มจากเจอ คริสตัล พาเลซ วันเสาร์หน้า เวลาเดิม (4 ทุ่ม) จากนั้นจะได้พักแบบเต็มๆ 1 วีก เพราะตกรอบเอฟเอคัพไปแล้ว และจะลงแข่งอีกที วันพุธที่ 31 ม.ค. เจอกับเลสเตอร์
ทั้ง 2 ทีมนี้ ลิเวอร์พูลไปชนะมาแล้ว ตอนเป็นทีมเยือน ซึ่งถ้าคัมแบ็กสู่เส้นทางแห่งชัยชนะแล้ว 2 เกมดังกล่าว ก็ควรผ่านไปได้ แบบไม่มีปัญหา
#Liverpool
โฆษณา