14 ม.ค. 2019 เวลา 00:37 • ไลฟ์สไตล์
"ขาดทุน"
เมื่อสองวันที่ผ่านมา
ผมขายรองเท้าให้คุณลุง
ซึ่งทำอาชีพขับTaxi คนหนึ่ง
ในราคาห้าร้อยบาท
ผมซื้อรองเท้าคู่นี้มา
ในราคาหนึ่งพันห้าร้อยบาท
ใส่แค่ 2-3 ครั้ง
เมื่อก่อนผมเป็นคนบ้ารองเท้ามาก
ซื้อไปตามกิเลสที่มากระทบ
ซื้อไม่ลืมหูลืมตา ซื้อบ้าซื้อบอ
.
คุณลุงต่อราคาแล้วต่อราคาอีก
จนผมยอมใจ จบที่ห้าร้อยบาท
พร้อมกับส่งให้ถึงที่
.
สาเหตุที่ผมขาย
เนื่องด้วยผมต้องการเลิกเป็นนักสะสม
ยิ่งสะสม ยิ่งมีมาก
ยิ่งต้องดูแล ยิ่งต้องคิดมาก
กังวลติดพันยุ่งเกี่ยวอยู่กับมัน
.
ผมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รองเท้า
ผมหมายถึง"ทุกอย่าง"ในชีวิต
.
.
หากสังเกตให้ดี มองให้ละเอียดลึกซึ้ง
หลายสิ่งในชีวิตทำให้เราไม่เป็น"อิสระ"
โดยเฉพาะการ"ยึดติด"มากๆ ในวัตถุสิ่งของ
ยิ่งถมเท่าไหร่ ยิ่งไม่มีวันเต็ม
ไม่มีคำว่า"พอ"
.
.
ผมขาดทุนย่อยยับในการค้าครั้งนี้
โดยที่เราทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เมื่อผมนำรองเท้าไปให้คุณลุง
คุณลุงและเพื่อนๆ มามุงดูกันใหญ่
แล้วพูดกันว่า"ของใหม่เลยนะเนี่ย"
คุณลุงลองสวมรองเท้าดู
และบอกว่าพอดีเป๊ะ ใส่นิ่มกว่าคู่เดิมเยอะเลย
คุณลุงหัวเราะเสียงดัง
ปากฉีกยิ้มกว้าง
แววตาเปี่ยมด้วยความสุขล้น
แกถอดรองเท้าหนังคู่เก่าราคาร้อยกว่าบาท
ที่สภาพเก่าและเปื่อยมากออก
และแกบอกว่า วันนี้แกจะใส่คู่ใหม่ไปทำงาน
แกจ่ายเงินให้ผมและกล่าวขอบคุณ
แล้วผมก็เดินกลับมาที่รถ
และวางแบงค์ร้อยห้าใบลง
ผมมองดูมัน แล้วก็รู้สึกดีใจ
ไม่ใช่ด้วยจำนวนเงิน
แต่เป็นเพราะ"รอยยิ้ม"กว้างของคุณลุงนั่นเอง
ในเรื่องเงินๆทองๆ
ผมทำกิจการเจ๊งเรียบร้อย
แต่นี่สินะ ที่เป็นส่วนเล็กๆ
ของการ"ให้"หรือ"แบ่งปัน"
เสียเงิน แต่ไม่เสียใจ
ขาดทุนเงินตรา แต่กำไรหัวใจ
ผมไม่เคยเห็นคนวัยนี้ที่ไหนดีใจ
ที่ได้รองเท้าคู่ใหม่เท่าวันนั้นเลย.
#ความเรียงเพียงคุณอ่าน
โฆษณา