27 ม.ค. 2019 เวลา 14:41 • บันเทิง
Inglourious Basterds ยุทธการเดือดเชือดนาซี(2009)
10 ปีหนังล่านาซีในแบบฉบับของ เควนติน ทาแรนติโน
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ทว่าตัวหนังเองแทบจะไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์เลย หนังเพียงแค่อาศัยสงครามเป็นฉากหลังเท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เขียนขึ้นมาใหม่หมด จะเรียกได้ว่าเป็นจักรวาลคู่ขนานกับประวัติศาสตร์ที่เรารู้จักก็ว่าได้
หนังเปิดฉากช่วงแรกนั้นเกริ่นเรื่องถึงเด็กสาวชาวยิวที่ครอบครัวถูกทหารนาซีฆ่า โดยมีพันเอก ฮานส์ ลันดา เป็นหัวหน้าหน่วยในการตามล่าชาวยิวที่หลบซ่อนตัวอยู่ ระหว่างการสอบสวนเป็นไปอย่างช้าๆ แต่รู้สึกได้ถึงการคุกคาม ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดกดดันพอสมควร ทั้งบทพูด อารมณ์ตัวละคร และสถานที่ ที่ชวนให้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถัดมาเป็นเรื่องราวของกลุ่ม Basterds หน่วยรบเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตามล่าและถลกหนังหัวพวกนาซีโดยเฉพาะ เมื่อมาถึงฝรั่งเศส กลุ่ม Basterds ก็ทำการดักซุ่มโจมตีทหารนาซีในแนวหลัง แล้วจับคนที่รอดมาข่มขู่ให้บอกตำแหน่งของทหารนาซีหน่วยอื่นๆ ว่าอยู่ตรงไหน เพื่อจะตามไปเชือดทีหลัง เชลยมีสองทางเลือกคือยอมบอกหรือยอมตาย ซึ่งคนที่ยอมตายก็ได้ตายสมใจจริงๆ ตายสยองด้วย และคนที่ยอมบอกก็จะถูกปล่อยตัวให้กลับไปเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของกลุ่ม Basterds พร้อมกับของฝากที่ระลึกบนหน้าผาก
หนังเล่าเรื่องอยู่สองฝั่งสลับกันไปมาระหว่าง โชซาน่า ดรายฟัส สาวชาวยิวที่ครอบครัวถูกฆ่าตายตอนต้นเรื่อง และทหารกลุ่ม Basterds ที่มีร้อยโท อัลโด เรน เป็นหัวหน้าหน่วย โดยเรื่องราวทั้งสองจะมาบรรจบกันตอนสุดท้ายในงานฉายรอบปฐมทัศน์ของหนังเยอรมัน ในโรงหนังที่โชซาน่าเป็นเจ้าของอยู่
เอกลักษณ์เฉพาะของผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน คือการเล่าเรื่องสลับกันไปมาระหว่างตัวละครของแต่ละฝั่ง ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานตัวละครให้แข็งแรง ดังจะเห็นได้จากงานเก่า ๆ อย่าง Pulp Fiction หรือ Kill Bill เพื่อให้ผู้ชมสามารถซึมซับอารมณ์กับตัวละครแต่ละฝั่งได้อย่างเต็มที่ และเนื่องจากตัวละครในเรื่องนี้มีเป็นสิบๆ คน การเล่าเรื่องแบบในของใครของมัน ก่อนจะมาบรรจบกันในตอนท้ายจึงเหมาะสมที่สุด
เอกลักษณ์อีกอย่างนึงของผู้กำกับคือสามารถสร้างฉากที่มีการสนทนากันอย่างยาวเฟื้อย ในสถานที่เดิมไม่มีการเปลี่ยนฉากได้อย่างน่าติดตาม อีกทั้งยังคมคายและลึกซึ้ง และในระหว่างบทสนทนาจะมีการเปรียบเปรยถึงสิ่งต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึง เช่นความแตกต่างระหว่าง กระรอก กับ หนู ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนเกลียดหนู ทุกคนอยากฆ่ามันให้ตายหรือไล่มันไปให้พ้นๆ
แต่ในขณะเดียวกันทุกคนไม่เกลียดกระรอก ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นสัตว์ฟันแทะและเป็นพาหะนำโรคเหมือนกัน หรือแท้จริงแล้วทุกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเกลียดหนู แต่เท่าที่รู้ทุกคนเกลียดเพราะสังคมส่วนใหญ่เกลียด
เช่นเดียวกับกรณีที่นาซีกระทำกับยิว เดิมทีชาวเยอรมันอาจจะไม่ได้เกลียดยิวถึงขนาดเห็นแล้วอยากเข่นฆ่าให้ตาย แต่เมื่อฮิตเลอร์เกลียดยิว และโฆษณาซ้ำๆ ว่ายิวคือเชื้อโรคของประเทศ สิ่งที่ตามมาคือทุกคนเกลียดยิวโดยไม่ตั้งคำถาม ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดเดียวกับกลุ่ม Basterds ที่ใช้ตอบโต้กับนาซีดังที่ร้อยโท อัลโด เรน กล่าวปราศรัยครั้งแรกกับทหารในหน่วยว่า “มันไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องไปสั่งสอนศีลธรรมแก่พวกนาซี” เจอนาซีที่ไหนก็ทำเหมือนกับพวกมันเป็นหนู คือฆ่าพวกมันให้หมด
สิ่งที่น่าตระหนักที่สุดก็คือ อคติ ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ ที่พร้อมจะเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ตายเพียงแค่ความแตกต่าง จากแนวคิดที่ว่าเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ตัวเองนั้นเหนือกว่าชนชาติอื่น แม้แต่ประเทศอเมริกาเองก็เคยกดขี่ชนเผ่าพื้นเมือง หรือชนเผ่าแอฟริกา และอาจเลวร้ายพอๆ กับที่นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ดังที่หนังเปรียบเปรยกับ คิงคอง ในเกมทายชื่อ
- เขามาจากป่า
- เขาเดินทางมาอเมริกา
- เขามาทางเรือ
- เป็นการมาที่เขาไม่เต็มใจ
- เขาถูกล่ามโซ่
- เขาถูกนำมาแสดงโดยที่ยังล่ามโซ่
Inglourious Basterds จึงเป็นหนังที่แสบตั้งแต่คอนเซ็ปต์ โดยเฉพาะผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน่ ที่เขียนบทและหลอกด่าทุกฝ่ายได้อย่างแยบยล เขาหยิบยกเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สองมาเล่าเรื่องในแบบของตนอย่างบันเทิง และจบแบบไม่แคร์หน้าประวัติศาสตร์ใดใดทั้งสิ้น เควนตินนี่แหละ ไอ้ตัวแสบที่สุดของเรื่องนี้
โฆษณา