7 ก.พ. 2019 เวลา 01:09 • ธุรกิจ
The Innovators ตอนที่ 3 : Andrew Carnegie
ในตอนที่แล้วนั้น เหล่าผู้สร้างและปฏิวัติอเมริกา ต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการต่อสู้กันอย่างดุเดือด มันเป็นยิ่งกว่าสงครามทางธุรกิจ หักเหลี่ยม เฉือนคมกัน แบบเอาให้ตายกันไปข้างนึงเลยทีเดียว แม้ Rockefeller จะเป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาด แต่ตัวเขาเองก็เสียหายไปน้อยเลยทีเดียว
The Innovators ตอนที่ 3 : Andrew Carnegie
ร่างของ ทอม สก็อต เจ้านายผู้ที่เป็นที่รักใครของลูกน้องคนสนิทอย่าง Andrew Carnegie ถูกนำมาฝังไว้นอกเมืองฟิลาเดเฟีย เขาได้จากไปพร้อมกับความผิดหวัง ความล้มเหลว และการถูกลบหลู่ โดยศัตรูตัวฉกาจ John D. Rockefeller
มันนับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญครั้งที่สุดของ Andrew Carnegie นายผู้เป็นคนที่เขาเทิดทูนเหมือนพ่อ ต้องมาจบชีวิตลง ด้วยความผิดหวังอย่างร้ายแรงในเรื่องธุรกิจ โลกนี้แทบจะไม่เหลืออะไรสำหรับ Andrew Carnegie อีกต่อไป เมื่อขาด ทอม สก๊อต ไป
เมื่ออายุได้เพียง 12 ปี Andrew Carnegie นั้นก็ได้เริ่มทำงานกับบริษัทรถไฟแห่งหนึ่งในเมือง พิตต์สเบิร์ก ซึ่งเป็นที่ ที่ Carnegie ได้มีโอกาสพบกับประธานบริษัทอย่าง ทอม สก็อต
สก็อต นั้นถูกชะตาเจ้าหนู Carnegie มาตั้งแต่เด็ก จึงได้ผลักดันให้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขา ครอบครัวของ Carnegie นั้นยากจนมาก แม้ตัว Carnegie เองนั้นอยากจะไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจนมันจึงไม่สามารถที่จะส่งเขาไปเรียนในโรงเรียนได้
Carnegie จึงได้กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ทุก ๆ คนรู้กันว่า Carnegie เป็นเด็กที่ฉลาด และที่สำคัญ Carnegie นั้นเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงมาตั้งแต่เล็ก
และด้วยหัวที่ฉลาด และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมของ Carnegie ก็ทำให้ สก็อต นั้นคิดว่าจะสามารถปลุกปั้น Carnegie ขึ้นมาได้ ซึ่งหลังจากเฝ้าฟูมฟักในเรื่องธุรกิจรถไฟได้ไม่นาน  สก็อต ก็เริ่มที่จะโปรโมตเลื่อนขั้นให้กับ carnegie อย่างรวดเร็ว แซงเพื่อนรวมงานคนอื่น ๆ
การได้อาจารย์ที่ดีอย่าง ทอม สก็อต มันก็ทำให้ Carnegie เรียนรู้ทุกอย่าง อย่างรวดเร็ว และมันทำให้เขาเก่งขึ้น จนสุดท้ายมันทำให้ ทอม สก็อต นั้นมั่นใจในตัว Carnegie อย่างมาก
และเมื่ออายุได้เพียง 24 ปี Carnegie ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการบริษัท มันทำให้เขาได้ทำงานใกล้ชิตกับ ทอม สก็อต ในการดูแลการขยายเส้นทางรถไฟ ไปทางตะวันตก
มันมีงานชิ้นหนึ่งที่ถือเป็นงานที่เป็นโปรเจคใหญ่ของ สก็อต ในการสร้างสะพานข้ามทางรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา มันเป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำ มิซซิสซิปปี้ เป็นการเชื่อมฝั่งตะวันตกกับตะวันออก ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน  ซึ่งแน่นอนว่าเขาอยากให้ Carnegie คนที่เขาไว้ใจที่สุดมาจัดการในโปรเจคนี้
ได้อาจารย์ที่ดีอย่าง ทอม สก็อต ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายอย่างมาก ๆ
มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นสะพานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งมีความยาวกว่า 1 ไมล์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการก่อสร้างสะพานระดับนี้ได้ มันพบกับความล้มเหลวหลายครั้งมากจากการที่มีบริษัทก่อนหน้าทดลองสร้างมาแล้ว ความเป็นไปได้มันน้อยมาก ๆ มีโอกาสที่จะเสียเงินเปล่าสูงมาก
แต่ Carnegie นั้นคิดว่า หากไม่เสี่ยง มันก็แทบจะไม่ได้อะไรกลับมา เขาไม่อยากคว้าน้ำเหลวกับโครงการระดับยักษ์นี้ เขาจึงต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อก่อสร้างสะพานนี้ขึ้นมา
Carnegie จึงต้องลงมาคลุกคลีกับเหล่าวิศวกรผู้ออกแบบสะพาน ในสมัยนั้น เหล็กยังไม่สามารถที่จะรองรับความแรงของคลื่นที่มาพร้อมกับเรือและกระแสน้ำได้ มันมีโอกาสสูงที่จะทำให้สะพานนั้นพังลงมาเมื่อใดก็ได้
และมันเหมือนกับเหล่า Innovators ทุกคนที่กลายเป็นนักธุรกิจยิ่งใหญ่ มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับ Andrew Carnegie เขามั่นใจในความคิดของตัวเองเป็นอย่างมากว่ามันต้องมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ เขาไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ แม้ใคร ๆ จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ในสมัยนั้น เหล็กกล้าคือวัสดุที่แข็งแรงที่สุด มันเป็นการผสมเหล็กเข้ากับคาร์บอน ด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 2,000 องศาเซลเซียส ปัญหาในตอนนั้นก็คือมันมีราคาที่แพงมาก และกระบวนการผลิตนั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย
เหล็กกล้านั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก มันจึงมักถูกผลิตเป็นสิ่งของเล็ก ๆ เช่น ส้อม มีด และเครื่องประดับ ตอนนั้นไม่มีใครเคยมีแนวคิดที่จะใช้เหล็กกล้าในการสร้างโครงสร้างอะไร ๆ ที่ใหญ่โตมาก่อน
และเพื่อที่จะทำให้สะพานแล้วเสร็จได้นั้น Carnegie จึงต้องหาวิธีผลิตเหล็กกล้าจำนวนมากออกมาให้ได้ ซึ่งเขาใช้เวลาเสาะหาอยู่นาน เขาได้ตรงไปที่โรงงานผลิตเหล็ก และเพื่อไปหาความรู้จากนักเคมี เพื่อไปสอบถามว่า กระบวนการวิธีที่จะทำเหล็กกล้านั้น ต้องทำอย่างไร
และมันเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เขาไปพบกับนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษผู้หนึ่งที่สามารถคิดค้นเครื่องมือหนึ่งขึ้นมา  เจ้าเครื่องนี้มันสามารถช่วยลดเวลาการผลิตแหล่งแต่ละแท่งลงได้จากราว ๆ 12 สัปดาห์ เหลือแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น และมันทำให้ Carnegie ได้เล็งเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่นี้ และเริ่มหันมาศึกษาอย่างจริงจัง
ซึ่งเมื่อได้เหล็กกล้า และกรรมาวิธีใหม่นี้แล้วนั้น Carnegie จึงสามารถที่จะเริ่มก่อสร้างสะพานขึ้นมาได้  และด้วยวัยเพียง 33 ปีตอนนี้ Andrew Carnegie กำลังจะโชว์ให้โลกได้เห็นในสิ่งที่ทุก ๆ คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้รับรู้ว่ามันสามารถทำได้จริง
เริ่มก่อสร้างสะพานด้วยเหล็กกล้าเป็นครั้งแรกของโลก
แต่เส้นทางมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหราบ เพราะการใช้เหล็กกล้านั้นมันก็ทำให้ใช้ระยะเวลานานขึ้น ซึ่งกว่า 2 ปีแล้วที่ Carnegie หมกมุ่นอยู่กับการสร้างสะพานแห่งนี้ และที่สำคัญมันยังทำให้งบประมาณการก่อสร้างบานปลายอีกด้วย จนทำให้ไม่มีเงินเหลือ จนทำให้ Carnegie ต้องถูกบีบให้หยุดการก่อสร้างไปในที่สุด
นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ทุกคน ต้องเคยเผชิญกับความกลัว แต่ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวนั้น มันมีวิธีการจัดการกับความกลัวที่แตกต่างกัน ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะเอาชนะความกลัวเหล่านี้ได้อยู่เสมอ และไม่เคยที่จะยอมแพ้มันเด็ดขาด ซึ่ง Carnegie ก็เป็นคนแบบนั้น
Carnegie นั้นจึงต้องเลือกทางเดินที่จะไปเข้าหานักลงทุน เมื่อเงินของเขาใกล้จะหมดเต็มที แต่อย่างไรก็ดีเขาเริ่มเห็นโอกาสบางอย่างกับธุรกิจเหล็กกล้า ว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นธุรกิจในอนาคต ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงโอกาสการสร้างรายได้อีกมากมายจากธุรกิจเหล็กกล้าหากเขาทำสะพานนี้ได้สำเร็จ สะพานนี้มันจะเป็นตัวอย่างสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมให้กับประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งนักลงทุน ก็เห้นพ้องต้องกันกับ Carnegie ว่าธุรกิจเหล็กกล้านั้นมันมีอนาคต เขาจึงได้รับเงินมาลงทุนต่อกว่า ล้านเหรียญ เพื่อทำให้สะพานแห่งนี้เสร็จ และในที่สุด หลังผ่านไป 4 ปีสะพานก็แล้วเสร็จสมบูรณ์ ผลลัพธ์ที่ได้มันก็ยิ่งใหญ่มาก ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้สำเร็จ
แต่ตอนนี้ Carnegie ต้องเจอกับปัญหาใหม่อีกครั้ง มันคือการทำให้ผู้คนเชื่อว่าสะพานนี้จะไม่พังลงมาอย่างแน่นอน ในอเมริกา ณ ขณะนั้น สะพานโครงสร้างเหล็กกล้า นั้นไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน และนี่เป็นสะพานแรกที่ใช้โครงสร้างแบบเหล็กกล้า มันต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนให้ได้ก่อน
มันเป็นความเชื่อตั้งแต่ดั้งเดิมในสมัยนั้น คือ ช้างจะไม่ข้ามสิ่งก่อสร้างที่ดูไม่มีความมั่นคง ในวันเปิดสะพานครั้งแรก ด้วยความที่ Carnegie เป็นนักโฆษณาตัวยงอยู่แล้ว เขาก็ได้จัดขบวนพาเหรด ซึ่งนำโดยช้าง เพื่อมาแสดงให้เห็นว่า ช้างสัตว์ขนาดใหญ่ยังสามารถที่จะข้ามสะพานดังกล่าวได้ ซึ่งถ้าช้างข้าม ทุกคนก็จะยอมข้ามตามไป และมันก็สัมฤทธิ์ผลจริง ๆ หลังจากการแสดงครั้งนั้นสำเร็จ มันก็ทำให้ Carnegie ได้รับคำสั่งซื้อเหล็กกล้าในปริมาณที่มากมายมหาศาลที่เขาแทบจะหามาไม่ได้ด้วยซ้ำ
1
สะพานเหล็กกล้าของ Carnegie ยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
และที่สำคัญ ลูกค้ารายใหญ่ที่สุด คือ ลูกค้าที่เขารู้จักดี นั่นคือเหล่าลูกค้าในอุตสาหกรรมรถไฟ ที่อยากจะเปลี่ยนสะพานและรางรถไฟให้กลายเป็นเหล็กกล้า แต่ Carnegie ไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการของลูกค้าทั้งหมดได้
เขาจึงต้องคิดหาวิธีในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งมันต้องทำให้เขาหาเงินลงทุนเพิ่ม เขาจึงได้หันไปหาอาจารย์ ผู้ประสาทวิชาให้เขาเอง เขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทอม สก็อต นั่นเอง
ด้วยความช่วยเหลือของ ทอม สก็อต ทำให้ Carnegie ได้รับเงินลงทุนเข้ามาอีกกว่า 21 ล้านเหรียญ และมันทำให้เขาสามารถสร้างโรงเหล็กกล้าแห่งแรกขึ้นมาได้สำเร็จ เขามองเห็นอนาคตของเหล็กกล้าที่จะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ เขาจึงกล้าลงทุนในสิ่งที่นักธุรกิจส่วนใหญ่ในอเมริกาในขณะนั้นไม่กล้าลงทุน
สร้างโรงงานผลิตเหล็กกล้าแห่งแรก
มันเป็นโรงงานที่ใหญ่โตมาก ๆ เนื้อที่กว่า 100 เอเคอร์ ใกล้เมือง พิตต์สเบิร์ก มันทำให้โรงงานผลิตเหล็กกล้าของ Carnegie ใหญ่ที่สุดในประเทศทันที ซึ่งสามารถผลิตเหล็กกล้าได้ราว 225 ตันต่อวัน และมันทำให้ Carnegie สามารถผลิตเหล็กกล้าได้กับความต้องการของทั้งประเทศ และนั่นทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาทันที
แต่ธุรกิจการขนส่งทางรถไฟนั้น ได้มีการเพิ่มเส้นทางมากจนเกินไป ทำให้ไม่มีสินค้าพอที่จะส่ง และที่สำคัญ Rockefeller นั้นได้สร้างเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของตัวเอง ทำให้ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายทางรถไฟอีกต่อไป มันก็ทำให้ธุรกิจของ ทอม สก็อต พังทลายลง และเขาก็ได้เสียชีวิตต่อจากนั้นเพียงไม่นาน
Carnegie ต้องเสียอาจารย์ที่เขารักที่สุดไปแบบไม่มีวันกลับ ทอม สก็อต นั้นเป็นชายที่มีความหมายต่อเขามากกว่าทุกคนรอบตัว แม้กระทั่งครอบครัวเขาเองก็ตาม และสิ่งที่ Carnegie คิดก็คือ Rockefeller นั้นเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ ทอม สก็อต อาจารย์สุดที่รักของเขาต้องจากโลกนี้ไป
และมันถึงเวลาแล้วที่ Andrew Carnegie ต้องสะสางความแค้นครั้งนี้ และไม่ใช่แค่ ทอม สก็อต ที่โดนเอฟเฟคจากการกระทำของ Rockefeller ธุรกิจเหล็กกล้าของเขาก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เหมือนกัน เนื่องจากตอนนั้น ธุรกิจรถไฟเริ่มที่จะทยอยล้มหายตายจาก เหลือผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย มันทำให้ยอดคำสั่งซื้อเหล็กกล้าของเขาลดลงไปด้วย
คู่แค้นคนสำคัญอย่าง Rockefeller ที่เขาต้องการเอาชนะให้ได้
และด้วยการต้องการที่จะหาตลาดใหม่ Carnegie จึงเห็นแนวโน้มสำคัญที่เขาน่าจะตักตวงได้ ตอนนั้นชาวอเมริกาที่ว่างงานหลายหมื่นคน กำลังหลั่งไหลเข้าไปยังเมืองใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชิคาโก หรือ นิวยอร์ก เพื่อหางานทำ
ซึ่งการหลั่งไหลของผู้คนที่เข้าไปมากขนาดนี้ ทำให้ต้องมีการสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้คนจำนวนมาก Carnegie ผู้แสนฉลาดเริ่มเห็นอนาคตที่ไม่ต้องผูกธุรกิจของเขากับกิจการรถไฟอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เหล็กกล้ากำลังถูกนำไปใช้สร้างคาน หรือ โครงสร้างของตึกระฟ้า และมันเป็นอีกครั้งที่ทำให้ Carnegie กลายเป็นผู้นำ
ตึกระฟ้าแห่งแรกของโลก ถูกสร้างขึ้นในเมืองชิคาโก มันเป็นกำแพงอิฐบาง ๆ ที่ห้อยมาจากโครงหนา ที่สร้างมาจากเหล็กกล้าของ Andrew Carnegie และเพียงอีกไม่กี่ปีต่อมา มีอาคารใหม่กว่า 100,000 หลัง ถูกสร้างขึ้นในชิคาโก้ และเมืองใหญ่ ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
ต้องเรียกได้ว่าตอนนั้นอเมริกากำลังเติบโตขึ้น โดยเฉพาะอาคารระฟ้ามากมายตามเมืองใหญ่ ซึ่ง ส่วนใหญ่นั้นต้องใช้โครงสร้างเหล็กกล้าของ Carnegie มันคืออเมริกายุคใหม่ ที่ถูกสร้างโดยเหล็กกล้าของ Carnegie นั่นเอง
ตึกระฟ้าจำนวนมากมายในเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะนิวยอร์ก
การเติบโตของตึกระฟ้าทำให้ Andrew Carnegie กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา แต่สำหรับ Carnegie แล้วนั่นยังไม่พอ ตอนนั้นแค่ทรัพย์สินส่วนตัวของ Rockefeller นั้นก็มีมากกว่า Carnegie ถึง 7 เท่า
การจะแก้แค้นให้กับอาจารย์ของเขาอย่าง ทอม สก็อต ได้นั้นเขาต้องเหนือกว่า Rockefeller ที่กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลที่สูงที่สุดในอเมริกา เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องการใครบางคนที่โหดกว่าคู่ปรับคนสำคัญของเขาอย่าง Rockefeller
และ Carnegie เองนั้นก็รู้ดีที่สุดว่าใครเหมาะที่สุดกับงานนี้ เฮนรี่ ฟลิกซ์ เป็นเศรษฐีวัย 30 ปีที่สร้างตัวเองขึ้นมา เขาเป็นหนึ่งในผู้ส่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดในมิดเวสต์ ฟลิกซ์ เป็นนักธุรกิจที่ไร้ความปราณี เขาต้องได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
การว่าจ้าง เฮนรี่ ฟลิกซ์ จะทำให้ Carnegie นั้นได้ความโหดที่เป็นส่วนที่เขายังขาดอยู่ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง Carnegie กับ ฟลิกซ์ เรียกได้ว่าเป็นอยู่ในช่วงของความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดี
เฮนรี่ ฟลิกซ์ นักธุรกิจจอมโหด ผู้มาเติมเต็ม Carnegie
ภารกิจแรกของ ฟลิกซ์ ก็คือการทำให้ธุรกิจเหล็กของ Carnegie เติบโตขึ้น Carnegie เชื่อว่าฟลิกซ์นั้นจะช่วยใช้ความโหดของเขาได้ในเรื่องการลดต้นทุน ซึ่งจะนำไปสู่กำไรที่เพิ่มขึ้น แต่การให้อำนาจกับ ฟลิกซ์มากเกินไปนั้นก็ถือเป็นความเสี่ยงเช่นกัน
แต่ Carnegie ก็ตัดสินใจว่ามันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่า ซึ่งอาณาจักรเหล็กกล้าของเขาก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงระยะเวลาแค่ 2 ปี สัดส่วนของกำไรนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หลังเพิ่มการผลิต Carnegie และ ฟลิกซ์ ก็เริ่มมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะซื้อบริษัทคู่แข่งจากทั่วทั้ง โอไฮโอ และเพนซิลวาเนีย ได้
ความร่ำรวยของ Carnegie กำลังพุ่งสูงขึ้น ทรัพย์สินสุทธิของ Carnegie มีมากกว่า 3.5 พันล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน มันดูเหมือนเป็นความคิดที่ชาญฉลาดอย่างมากในการจ้าง เฮนรี่ ฟลิกซ์
Carnegie จึงตอบแทน ฟลิกซ์ โดยการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นประธานบริษัท  ฟลิกซ์ ได้ซื้อที่ดินบนเนินเขาแห่งหนึ่งของ พิตต์สเบิร์ก ที่นั่นเขาได้สร้างให้กลายเป็นชมรมของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ  มันชื่อชมรมตกปลา ซัลฟอร์ก ตั้งอยู่บนทะเลสาปจำลองขนาดใหญ่ ที่สมาชิกทุกคนจะได้ลงไปพายเรือ และ ตกปลา
เพื่อที่จะสร้างชมรมนี้ขึ้นมา พวกเขาต้องแก้ปัญหาเกี่ยวกับเขื่อน ซัลฟอร์ก ที่ตอนนั้นกักน้ำไว้ร่วม 20 ล้านตัน ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความเสี่ยงที่เขื่อนจะพัง เมื่อมีพายุฝนขนาดใหญ่พัดเข้ามา
ซึ่งภายใต้เขื่อนนั้นมีเมืองขนาดเล็ก ที่เป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานโรงงานเหล็ก ซึ่งมีชื่อว่าเมือง JohnTown การสร้างชมรมของฟลิกซ์ นั้นมันทำให้โครงสร้างของเขื่อนเปราะบางลง
เมือง johntown ที่กำลังจะกลายเป็นเศษซากโดยไม่รู้ตัว
และในที่สุดวันที่เป็นฝันร้ายของชาวเมือง Johntown ก็มาเยือนจนได้  มีฝนตกหนัก ทำให้ระดับน้ำในเขื่อนสูงขึ้น โดยสูงขึ้น 1 นิ้ว ในทุก ๆ 10 นาที  เขื่อนซัลฟอร์ก กำลังจะพัง มีการแจ้งเตือนไปยังในเมือง JohnTown แต่ด้วยความที่มีการแจ้งเตือนลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ชาวเมืองต่างเพิกเฉย
1
และในที่สุดเขื่อนมันก็พังลงจนได้ เมื่อสายน้ำหยุด ชาวเมือง 2,000 คนต้องเสียชีวิตทันที บ้าน 1,600 หลังถูกทำลาย เมือง JohnTown กลายเป็นเศษซาก มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในสหรัฐอเมริกาก่อนเหตุการณ์ 11 กันยาปี 2001
เหตุการณ์นี้ ได้เปลี่ยน Andrew Carnegie ไปตลอดกาล เพราะเขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ เขาได้ลาออกจากชมรมซัลฟอร์ก ทันที เขาจึงได้เริ่มหาทางกู้ภาพลักษณ์ของเขากลับคืนมาใหม่ และที่สำคัญ เขายังต้องการเอาชนะ Rockefeller ให้สำเร็จจงได้ แล้วเขาจะกู้ภาพลักษณ์จากเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร วิธีไหนที่จะทำให้ Carnegie สามารถที่จะเอาชนะผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดและร่ำรวยที่สุดในอเมริกาอย่าง John D.Rockefeller ได้สำเร็จ? โปรดอย่างพลาดติดตามในตอนต่อไปครับผม
ช่องทางติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา