10 ก.พ. 2019 เวลา 23:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แค่เป็นเบาหวาน รู้ตัวอีกทีต้องตัดขา
อีกสารพัดโรคที่ไม่เคยคิดตอนกินบิงซู
เป็นโรคเงียบๆ แต่ทำพิการมาหลายแล้วนะครับ
http://www.diabassocthai.org/
เบาหวานเป็นโรคที่เจอเยอะม้ากกก
ยิ่งอายุเยอะยิ่งเจอเยอะ สมัยนี้อายุที่เจอเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ คือเป็นกันตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วมันเป็นโรคที่น่ากลัวตรงที่มาแบบเงียบๆ เหมือนไม่มีพิษมีภัย
1
หมอบอกเป็นเบาหวาน ละไงอ่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลย คนไข้ส่วนใหญ่ที่ชะล่าใจว่าแข็งแรงดี ไม่เห็นต้องปรับอะไรเลยมีจุดจบที่ไม่ค่อยสวย เพราะตอนที่รู้ตัวว่า เออ มันเริ่มมีอาการมาละ ถึงตอนนั้นมันเริ่มสายไปแล้ว
1
ขอพูดถึงแค่เบาหวานชนิดที่ 2 นะครับ เจอบ่อยกว่าเยอะและป้องกันได้ด้วย เบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวกับตับอ่อนและฮอร์โมนตัวนึง แต่ส่งผลไปทั้งร่างกาย
คนปกติเนี่ย พอกินข้าว ลงไปในกระเพาะ ลำไส้ อาหารจะถูกย่อยให้เป็นน้ำตาล โปรตีน กรดไขมัน ตัวน้ำตาลเนี่ยเหมือนพลังงานสะสม ลำไส้จะเอาน้ำตาลที่ย่อยแล้ว ไปอยู่ในสายพานลำเลียง (เลือด) รอเก็บเข้าโกดัง (เซลล์)
1
ตับอ่อนเหลืองๆ ยาวๆ
พอมีน้ำตาลอยู่ในเลือดเยอะๆ ตับอ่อน (Pancreas) ก็จะทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลด้วยการปล่อยสารที่เป็นลูกน้องมาเก็บน้ำตาล สารตัวนี้ชื่อ insulin มันก็จะเอาน้ำตาลในสายพานเข้าไปเก็บไว้ในโกดัง (เซลล์) เป็นพลังงานสำรอง ไว้ใช้ตอนข้าวยากหมากแพง อันนี้ในโหมดคนปกติ
1
โหมดคนเบาควานคือแบบเหมือนเราให้ตับอ่อนทำ OT ไปยาวๆ กินจังเลยเว้ย บิงซู ฮันนี่โทส น้ำอัดลม หรือแม้แต่พวกแป้งๆเช่นข้าวสวย หนมปัง ที่สุดท้ายก็จะเปลี่ยนกลายเป็นน้ำตาลอยู่ดี กินดีมีความสุข (เกินไป) น้ำตาลมากันแบบล้นสายพาน ไม่มีช่วงให้ตับอ่อนพักกันเลย ตับอ่อนบอกพี่จัดมาเต็มขนาดนี้ผมขอบาย ทำไม่ไหวแล้ว ยื่นซอง ขอลาพักร้อนไปก่อน
1
ตับอ่อนที่เคยสร้าง insulin ก็เริ่มล้า สร้าง insulin ได้น้อยลง แต่ไม่จบแค่นั้น insulin ที่มีน้อยๆก็ต้องมารับงานหนัก งานล้นมือ แบกน้ำตาลจนหลังหักทำงานไม่ได้เรื่องเลย น้ำตาลก็เลยเอาไปเก็บในโกดังไม่ทัน ทีนี้น้ำตาลจะไปไหน ก็ไม่ไปไหนหรอก มันวนๆอยู่ในสายพาน ก็คือเลือดนั่นแหละ เลือดที่เต็มไปด้วยน้ำตาลจะกลายเป็นน้ำเชื่อมอยู่แล้ว (Insulin resistance)
1
จากเลือดเป็นน้ำเชื่อม นึกภาพน้ำเปล่าเทียบกับน้ำเชื่อมก่อน น้ำเชื่อมมันจะหนืดๆกว่า และมีความเข้มข้นเยอะกว่า ถ้ามีน้ำเชื่อมก็จะไหลไปทั่วตัว นึกภาพเลือดปกติที่ผ่านไต เลือดจะโดนกรองเอาของที่ร่างกายยังใช้ได้กลับมาใช้ต่อ พวกที่ของเสียๆ ของที่ไม่อยากได้ก็จะขับออกมาเป็นปัสสาวะ
ในคนที่น้ำเชื่อมท่วมตัว ไตก็ทำงานตามปกติ พยายามดูดน้ำตาลกลับเข้ามา แต่มันดูดไม่ไหวแล้ว ภาระงานมันหนักหนาสาหัสเกินไป เพราะไม่มีตัว insulin ช่วยเอาน้ำตาลไปเก็บในโกดัง ไตก็จะบอก เออ งั้นก็ปล่อยไปทิ้งทั้งอย่างงั้นแหละ ฉี่จะออกมาเป็นน้ำหวาน (Glycosuria) เหมือนที่เค้าบอกว่ามดขึ้นฉี่อ่ะแหละ แต่น้ำหวานเนี่ยมันเข้มข้น ละหนืดเกินไป ต้องเอาน้ำไปช่วยเจือจาง
ไตจะเอาดูดน้ำกลับมาใช้น้อยลง ปล่อยไปกับฉี่มากขึ้น พอน้ำออกมาเยอะละเป็นไง ก็จะฉี่บ่อย เดี๋ยวแป๊บๆฉี่ แป๊บๆฉี่อีกแล้ว (Polyurea) พอฉี่เยอะ ก็ขาดน้ำ คนก็จะหิวน้ำ คอแห้ง อยากกินน้ำไปทดแทน (Polydipsia) อันนี้ เป็นแค่อาการเริ่มต้น
1
เพราะงั้นพอเห็นภาพแบบนี้แล้ว เราบอกได้เลยใครน้ำตาลในเลือดสูง ใครฉี่ออกมาเป็นน้ำหวาน สงสัยว่าเป็นเบาหวานไว้ก่อน ละเป็นเบาหวานละไง หิวน้ำก็กินไปสิ มันไม่จบแค่นั้น ผลระยะยาวยังมีต่อ
ในระยะยาว ตับอ่อนจะทำงานไม่ได้เลย จากเดิมแค่พักร้อน ทำงานบ้างไม่ทำบ้าง สุดท้ายกลายเป็นไม่ทำเลย ไม่สร้างแล้ว insulin น้ำตาลเยอะก็ช่างมัน เราเทแล้ว
1
ไตก็ต้องมารับภาระหนัก น้ำเชื่อมที่ผ่านไตทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าคนปกติเยอะมาก ก็กลายเป็นคนไตเสื่อมไป (Diabetic nephropathy) ไตเสื่อมนี่ไม่ใช่เล่นๆนะครับ ถ้าใครมีญาติพี่น้องไตเสื่อมจนถึงขั้นฉี่ไม่ออก ต้องทำเส้นล้างไต
ล้างไตผ่านเส้นที่แขน
ไม่ว่าจะล้างผ่านเส้นที่แขน (Hemodialysis) หรือล้างผ่านหน้าท้อง (CAPD) บอกเลยว่าไม่ใช่ชีวิตที่ดี ไม่ได้ไปล้าง เลยกำหนดซัก 2 วันนี่คนไข้เริ่มแย่แล้ว ซึมหมดสติ หัวใจวายก็มีได้บ่อยๆ แล้วพอมันเสื่อม มันไม่ค่อยกลับมาเหมือนเดิม อย่างดีก็แค่ทรงๆ
1
เส้นล้างไตผ่านหน้าท้อง
นอกจากไต มันไปทั่วตัวอย่างที่บอก ที่เจอบ่อยๆก็คือตามปลายมือปลายเท้า (Peripheral neuropathy) อาการจะเป็นแบบมือชาเท้าชา ไม่ค่อยรู้สึก เหมือนมันหนาๆ จับอะไรไม่ค่อยถนัด ดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่เนี่ยแหละตัวการเลย พอเท้าชาๆ ไม่ค่อยรู้สึก เดินไปเตะอะไรเป็นแผลก็ไม่ค่อยรู้ว่าเป็น
แล้วคนเป็นเบาหวานเนี่ย แผลหายยากมากกกกก (Diabetic ulcer) คนปกติอาทิตย์เดียวหายสนิท คนเป็นเบาหวานนี่มีถึง 2-3 เดือน กว่าจะหายขนาดช่วยทำแผลละนะ นอกจากแผลหายยาก เม็ดเลือดขาวที่ต้องมาว่ายน้ำเชื่อมไปทำงานก็ทำงานไม่ค่อยดี จนกลายเป็นเม็ดเลือดขาวเด๋อๆ ฆ่าเชื้อไม่ค่อยเป็น แผลก็ติดเชื้อกันระนาว
1
รูปน่ากลัวน้อยๆ ใครอยากเห็นของจริง. ลองเตรียมใจเสิชดู “Diebetic ulcer"
แผลหายยาก ติดเชื้อ ภูมิต่ำ นี่มันเป็นสวรรค์ของเชื้อโรค กินแผลลามไปถึงกระดูก ติดเชื้อในกระแสเลือดอีก ต้องมานอนโรงพยาบาลกันวุ่นวาย สุดท้ายถ้ามันไม่ไหว เชื้อเยอะ แผลใหญ่ จบที่การตัดนิ้ว ตัดเท้า ตัดขา ก็ไล่ไปตามตำแหน่งแผล แผลผ่าตัดก็หายยากอีก โอย ชีวิตลำบากไปมั้ย
อีกอันที่เจอคือเบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) อันนี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่สรุปเลยว่ามันจะทำให้จอประสาทตาเสื่อมไวกว่าคนปกติ ถ้าไปตรวจบางคนก็จะเจอเส้นเลือดงอกออกมาที่จอประสาทตาเยอะๆ แล้วเส้นเลือดมันไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้เลือดออกที่จอประสาทตาได้ บางทีจะเห็นเป็นภาพเบลอๆ หรือจุดดำๆ สุดท้ายโชคร้ายจริงๆจะกลายเป็นตาบอดไป อันนี้พอแก้ได้ถ้ามาทันเวลา แต่ก็มีคนที่ตาบอดเพราะเบาหวานมามากมาย เพราะคิดว่าไม่เป็นอะไร
ภาพปกติที่มองเห็น
ภาพของคนเบาหวานขึ้นตา
ยังไม่รวมความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น หัวใจวายเฉียบพลัน อัมพาต น้ำตาลต่ำฉับพลัน เลือดเป็นกรดจากน้ำตาลสูง ปัญหาจะตามมาอีกมากมาย
แล้วทีนี้จะทำไง ทำไงให้ไม่เป็นเบาหวาน เป็นเบาหวานแล้วต้องทำยังไงให้ไม่มีโรคเพิ่ม เอาแบบตรงๆก็คือถ้ายังไม่เป็นเบาหวาน ก็อย่าทำตัวให้เป็น ถ้าเป็นไปแล้ว ก็ต้องคุมน้ำตาลให้ดี
ถ้ายังไม่เป็น ก็เบาๆของหวานหน่อย น้ำอัดลมนี่ตัวดี ถ้าไม่ไหวไปพวก Coke zero, Pepsi Max ก็ยังดี อาหารหาผักที่ไม่ค่อยมีแป้ง เน้นใบๆ กินข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรรี่ เนื้อสัตว์ก็เอาแบบที่ไม่มีมัน ที่สำคัญคือออกกำลังกายด้วย ออกกำลังกายจะลดน้ำตาลสะสม ทำให้ insulin ทำงานดีขึ้น พวกนี้ก็ลดความเสี่ยงไปได้มากพอควร ที่เหลือ ไปตรวจ
ประจำปีเค้าก็จะหาเบาหวานให้อยู่แล้วครับ
1
ถ้าเป็นไปแล้ว บางทีมันเป็นเยอะ คุมอาหาร ออกกำลังกายมันอาจจะไม่ทัน ต้องเอายาเข้าไปช่วย กินยาก็ต้องกินให้ดี กินข้าวให้ครบ เพราะมันต้อง balance กันระหว่าง ยากับข้าว กินข้าวไม่กินยาน้ำตาลก็ขึ้นสูง กินยาไม่กินข้าวก็น้ำตาลต่ำหน้ามืดอีก ออกกำลังกายก็ต้องทำ และทำตลอดด้วย
ไม่ใช่อีก 3 วันมีนัดหมอ เดะไปวิ่งซะหน่อย อดข้าวซักวัน ทำเป็นกินคลีน น้ำตาลปลายนิ้วมันลดก็ดีใจว่าคุมดี มันก็ลดแหละครับ แต่น้ำตาลสะสมมันฟ้องอยู่แล้ว หลอกไม่ได้หรอก ต้องตั้งใจทำจริง เอาจริงกับตัวเองครับ ไม่ได้เพื่อใคร เพื่อตัวเราเองในอีก 10 20 ปีข้างหน้า อยากจะสุขภาพแข็งแรง หรืออยากนอนล้างไตอยู่บ้าน เราต้องเลือกเอง ทำเองครับ
1
“You reap what you sow"
โฆษณา