18 ก.พ. 2019 เวลา 09:18 • ไลฟ์สไตล์
Interview :: “เพื่อนกันฉันรักเธอ” นิยามรักฉบับ “ปรัชญมน บุรณศิริ”
เป็นอีกหนึ่งคู่รักที่เส้นทางความรักอาจแตกต่างจากคู่รักทั่วไป แต่พอได้ฟังมุมมองความรักของทั้งคู่บอกเลยว่าหวานเวอร์ไม่แพ้คู่ไหน โดยจุดเริ่มต้นความรักของ “หญิง-ปรัชญมน บุรณศิริ” เจ้าของธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์ดูแลมือและเท้าแบรนด์ OPI เจ้าของร้านอาหารและร้านกาแฟ กับสามีมาดเซอร์ “ตี้-ปฐวี เดชกฤติวัฒน์” ครีเอทีฟและเจ้าของโปรดักชันเฮาส์ เริ่มต้นจากคนรู้จักไต่ระดับสู่การเป็นเพื่อน และข้ามขั้นสู่การแต่งงาน โดยเว้นช่องว่างตรงคำว่า “แฟน” ไว้เป็นปริศนาของช่วงเวลาแห่งความทรงจำดีๆ
เหตุผลที่ทำให้คำว่า “แฟน” กลายเป็นสเตตัสที่ทั้งคู่มองผ่าน หญิงและตี้พร้อมถ่ายทอดมุมมองความรักรูปแบบใหม่ที่แสนกลมกล่อม “เรารู้จักกันมาเป็นปีก่อนหน้าที่จะมาเริ่มต้นคบกัน เพราะเรามีวงโคจรเพื่อนที่ใกล้ๆ กัน จึงรู้จักชื่อ เห็นหน้าค่าตากันมาบ้าง” หญิงเล่าถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ก่อนที่ฝ่ายชายจะขอเล่าต่อถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องที่มาจากความขี้เล่นของฝ่ายชายก็ว่าได้
“วันหนึ่งคุณแม่โทรศัพท์มาหาผมแต่เช้า บอกว่ามีบัตรชมละครเวทีเรื่อง เดอะ แฟนธอม ออฟ ดิ โอเปรา (The Phantom of the opera) เหลือ 2 ใบ ซึ่งท่านไปดูมาแล้ว จึงถามว่าผมจะไปดูไหม ผมเองตอนนั้นก็ยังงงๆ แต่ก็ตอบรับเอาบัตรมาไว้ก่อน ส่วนจะไปหรือเปล่าอีกเรื่อง เพราะตอนนั้นผมก็โสด ไม่รู้ว่าจะไปดูกับใคร เลยไปโพสต์เล่นๆ ในเฟสบุ๊กว่ามีบัตรดูละครเวทีเรื่องนี้ หาคนไปดูด้วย แต่คนที่จะไปต้องมีคุณสมบัติตามที่ผมลิสต์ไป (หัวเราะ) สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นผมกะโพสต์ขำๆ ให้เพื่อนมาคอมเมนต์ ปรากฏว่ากลับมาดูอีกทีมีคนมาตอบเพียบ ผมก็อ่านขำๆ ไมได้คิดอะไร
จนมีรุ่นน้องคนหนึ่งส่งข้อความอินบ็อกซ์มาหาว่า บัตรที่ผมมีเป็นรอบเดียวกับเธอและสามีพอดี จึงอยากให้เพื่อนของเธอ ซึ่งอยากดูละครเวทีเรื่องนี้เหมือนกัน ไปดูกับผม ผมโอเคไหม ด้วยความที่กลัวโดนแกล้ง จึงบอกว่าให้ส่งรูปเพื่อนมาให้ดูก่อน ปรากฏว่าเป็นหญิง ซึ่งเรารู้จักกันอยู่แล้ว ผมก็โอเค ก็นัดไปเจอหน้าโรงละคร” ตี้เล่าไปขำไป ขณะที่ หญิงถือโอกาสเล่าเบื้องหลังความจริงที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้มาก่อน เพิ่งมาเฉลยสดๆ วันนี้
“ตอนนั้นเพื่อนหญิงแค่โทร.มาถามหลังจากตกลงกับเขาเสร็จสรรพแล้วว่า หญิงว่างหรือเปล่า จริงๆ ตอนแรกหญิงมีนัด แต่เพื่อนยื่นคำขาดว่าให้ทำตัวให้ว่างได้ไหม เพราะเขาเห็นว่าเราอยากดูละครเวทีเรื่องนี้ และพี่ตี้ซึ่งเราก็รู้จักมีบัตร เลยอยากให้ไปดูด้วยกัน เพราะเขากับสามีก็ไปดูรอบนี้เหมือนกัน เท่ากับว่าเหมือนเราไปดูด้วยกัน แต่นั่งคนละที่ หญิงเองตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเราเป็นคน Outgoing อยู่แล้ว บวกกับทั้งหญิงและพี่ตี้เป็นคนที่มีเพื่อนต่างเพศเยอะอยู่แล้ว ฉะนั้น เราไม่ได้คิดว่าการไปดูละครเวทีกับเพื่อนผู้ชายเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติ ก็ไป แต่มาถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่าเพื่อนจงใจจับคู่ให้เรา เพราะเห็นว่าตอนนั้นหญิงก็โสด”
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทั้งคู่มาพบกันที่หน้าโรงละคร สำหรับฝ่ายหญิง ด้วยความที่มีภาพจำว่าฝ่ายชายขี้เก๊ก เจอกันหลายครั้งแต่ไม่ค่อยพูดด้วยเอาแต่ดื่ม ผิดกับฝ่ายหญิงที่ไม่เน้นดื่ม แต่ชอบสังสรรค์พบปะผู้คน ขณะที่ ฝ่ายชายชอบความเป็นส่วนตัว เป็นพวกรักษาระยะห่าง ไม่สนิทไม่คุย ฉะนั้น ถ้าถามว่า การพบกันวันนั้นเข้าใกล้คำว่าเดตหรือไม่ ทั้งคู่พร้อมใจกันลงความเห็นว่า ไม่เลย
“ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าถ้าดูเสร็จ คุยกันแล้วเคมีไม่เข้ากันก็แยกย้าย” ตี้เผยถึงโมเมนต์ที่จำไม่ลืม ขณะที่หญิงเสริมว่า “ตอนนั้นเราทั้งคู่ไม่ได้คิดว่าอยากมีแฟนด้วย อยู่ในจุดอิ่มตัวกับชีวิตโสดที่แฮปปี้ แต่ปรากฏว่าพอดูละครจบ เราชวนกันไปกินข้าวต้มรอบดึกต่อ เลยเป็นโอกาสให้ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น”
เมื่อตัดสินใจเลื่อนสถานะจากคนรู้จัก ทั้งคู่ก็คงความเป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่แค่สเตตัสที่ยกขึ้นมาบิดเบือนคำว่าแฟนหรือคนรัก เพราะตลอดเวลาที่คบกัน ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันบ่อย หรือคุยโทรศัพท์ ส่งไลน์รายงานตัวตลอด ไม่เคยโทร.ถามว่าอีกฝ่ายอยู่ไหน กลับบ้านกี่โมง ซึ่งจนทุกวันนี้ก็เป็นแบบนั้น เมื่อไหร่ที่มีเรื่องต้องคุยก็จะนัดเจอ
“ไม่ใช่ว่าเพราะเราอายุห่างกัน 8 ปี แต่เป็นเพราะเรานิสัยคล้ายกัน คือผู้หญิงส่วนใหญ่อาจจะชอบเมาต์ ชอบคุยโทรศัพท์ แต่ผมไม่ชอบนั่งเมาต์สัพเพเหระ ถ้าจะคุยก็คุยกันต่อหน้าเลยดีกว่า ได้เห็นฟิลลิ่ง การแสดงออกของอีกฝ่าย”
ถามว่าใช้เวลานานมั้ยกว่าจะตัดสินใจเลื่อนสถานะจากเพื่อนเป็นแฟน ตี้ชิงตอบว่า “ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็นแฟนกันตอนไหน” ขณะที่หญิงเสริมว่า “วันครบรอบของเราก็นับจากวันที่เราเจอกันที่โรงละคร เพราะว่าเราพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนมาเป็นแฟนตอนไหนไม่รู้ เราไม่ใช่คู่ที่หวานแหวว ต่างคนต่างทำงาน โฟกัสกับชีวิตตัวเอง บางทีถ้าว่างก็ไลน์ถามว่าว่างมั้ยเจอกัน เพราะบ้านเราห่างกันแค่ 3 สถานีรถไฟฟ้า กลายเป็นเหมือนเพื่อนบ้าน ยิ่งต่างคนต่างโสด เวลาจะชวนไปกินข้าวก็ง่าย จนทุกวันนี้หญิงยังโดนเพื่อนแซวอยู่เลยว่า ไหนบอกไม่คิดอะไร (หัวเราะ)”
โดนพาดพิงแบบนี้ ฝ่ายชายเลยถือโอกาสชี้แจงว่า “ตอนที่จะแต่งงาน ผมไม่ได้เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน แต่เราคุยๆ กันว่าแต่งงานกันมั้ย แล้วก็ไปดูฤกษ์เลย จริงๆ เราสองคนไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน เพราะเราก็แฮปปี้อยู่แล้ว แต่เราสองคนมองว่าการแต่งงานคือพิธีการที่ทำให้ผู้ใหญ่สบายใจ เหมือนเราบวชให้พ่อแม่ แต่งงานให้ครอบครัว งานแต่งของเราเลยจัดแบบ Family Gathering ไม่เชิญเพื่อนเลยสักคน ธีมงานของเราอะไรก็ได้ขอให้ตอบโจทย์ผู้ใหญ่ เพราะเราแต่งงานครั้งเดียวในชีวิต เราอยากให้ผู้ใหญ่มีความสุข ครอบครัวมาเจอหน้ากัน”
ด้านหญิงเองก็เห็นด้วย เพราะด้วยความญาติผู้ใหญ่เยอะทั้งคู่ มีญาติผู้ใหญ่หลายท่านที่ไม่ได้เจอในชีวิตประจำวัน ดังนั้น งานแต่งงานน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ขอบคุณ และมีเวลาสนทนากับพวกท่าน ซึ่งเธอคิดว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนเส้นทางความรักจะราบเรียบ แต่โมเมนต์หวานซึ้งๆ ก็มีมาให้หัวใจชุ่มฉ่ำเหมือนกัน
“เขาไม่ใช่ผู้ชายที่โรแมนติก แต่บทจะโรแมนติกก็มี แต่ไม่บ่อย เพราะส่วนใหญ่เวลาเขาจะเซอร์ไพรส์ แผนจะแตกก่อนทุกที แต่ก็เคยทำสำเร็จครั้งหนึ่ง ตอนวันเกิดหญิงปีแรกที่คบกัน เขาเอารูปที่ไปถ่ายตามสถานที่ต่างๆ มาทำโฟโต้บุ๊กให้ จนทุกวันนี้ก็ยังเก็บอยู่ แต่ที่ประทับใจเขามากคือ ปีใหม่ปีแรกที่คบกันแล้วเขาไปกราบคุณแม่ที่บ้าน คืออาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้ สำหรับหญิงคำว่าโรแมนติก มันไม่ได้หมายความว่าเขาต้องทำกับเรา แต่เขาทำกับคนที่เรารัก”
นั่งอมยิ้มฟังฝ่ายหญิงเผยความในใจแล้ว ถึงเวลาที่ฝ่ายชายจะได้สารภาพความในใจ “หญิงมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ในตัว มีความสดใส เอนเนอจีจากเขาก็ทำให้เรามีพลังบวก ขณะเดียวกัน เวลาทำงาน เขาก็ทำให้เราเห็นว่าเขามีความเป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบ ที่สำคัญเขาเป็นคนรักครอบครัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้หญิงที่เราอยากได้มาร่วมสร้างครอบครัว”
ติดตาม Celeb Online ได้เพิ่มเติมจากช่องทางต่อไปนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา