19 ก.พ. 2019 เวลา 11:33 • ประวัติศาสตร์
Atlas Story : โคลัมบัสค้นพบทวีปใหม่
แต่ทำไมถึงชื่อ "อเมริกา" (ตอนที่ 2)
หลังจากยุคกลางที่มืดมนได้ผ่านพ้นไป
คาบสมุทรอิตาลีก็ทำให้ยุโรปสว่างไสว
ด้วยภูมิปัญญา นวัตกรรม และองค์ความรู้ใหม่ๆ
นครรัฐแต่ละแห่งล้วนเจริญเติบโต มั่งคั่ง
และเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะ
ชาวอิตาลีรังสรรค์ศิลปะ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม
ที่ล้วนขับเคลื่อนโลกให้เข้าสู่ยุคใหม่
ยุคที่เชื่อในศักยภาพของมนุษย์
อย่างที่ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเสมอเหมือน !
แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือ
ในเวลานั้น คาบสมุทรอิตาลียังไม่รวมกันเป็นรัฐชาติ
เมืองแต่ละเมืองยังคงแยกกันอยู่อย่างอิสระ
การจะทำเมกะโปรเจ็กต์ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล
เช่นการเดินเรือไปอินเดีย
จึงต้องมีผู้สนับสนุนที่ใหญ่ และมั่นคงพอ
ซึ่งในเวลานั้น ยุโรปมีรัฐชาติที่ใหญ่ และมั่นคง
อยู่เพียงสองประเทศ คือ โปรตุเกส กับสเปนครับ
(อังกฤษกับฝรั่งเศสยังทำสงครามร้อยปีกันไม่เสร็จ ความมั่นคงเลยไม่ค่อยมีเท่าไหร่)
โคลัมบัสทราบความจริงข้อนี้ดี
หลังจากความเดิมตอนที่แล้ว ถูกกษัตริย์แห่งโปรตุเกสปัดตกแผนเมกะโปรเจ็กต์ไปอินเดีย
ก็ก้มหน้าก้มตาหาผู้สนับสนุนใหม่
ภรรยาไฮโซโปรตุเกสดันมาเสียชีวิตพอดีในเวลานั้น
โคลัมบัสจึงตัดสินใจกระเตงลูกน้อย
มายังดินแดนแห่งใหม่
แม้จะชอกช้ำแค่ไหน
แต่สายเลือดอิตาลีที่มีอยู่ในตัว
ก็ทำให้เขาเลือกเดินตามความฝัน
ด้วยความรู้สึกอาจหาญ
และความเชื่ออย่างเต็มหัวใจ
ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ !
..
รูปภาพ โคลัมบัสค้นพบดินแดนแห่งใหม่ ที่มา Wikipedia
โคลัมบัสวัย 34 หอบลูกน้อยมาจนถึงสเปน
ดินแดนแห่งความหวังครั้งใหม่
และเริ่มอาชีพใหม่คือการขายหนังสือครับ
ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่มากของโลกตะวันตกในเวลานั้น
(เพราะเครื่องพิมพ์หนังสือ เพิ่งถูกประดิษฐ์โดยชาวเยอรมันนามว่า กูเตนแบร์ก เพียงไม่กี่ปีก่อนหน้า)
แต่ถึงอย่างนั้น
อาชีพนี้ก็สร้างรายได้ให้โคลัมบัสพอสมควร
และทำให้เขาได้อ่านเรื่องราวของนักเดินทาง
โดยเฉพาะ มาร์โค โปโล
ที่เดินทางทางบกไปยังเมืองจีน
และได้อัพเดทข่าวสารของนักเดินเรือ
ซึ่งในเวลานั้น ข่าวการเดินทางถึงแหลมกู๊ดโฮป
ซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดของทวีปแอฟริกา
ของนักเดินเรือชาวโปรตุเกส บาร์โทโลมิว ไดแอส กำลังสร้างความฮือฮาในยุโรป
นั่นทำให้โคลัมบัส
ต้องกลับมาทบทวนความฝันอีกครั้ง
และตามหาผู้สนับสนุนเมกะโปรเจ็กต์ทุกวิถีทาง
เขาติดต่อกับนักบวชผู้ที่พระราชินีแห่งสเปนทรงนับถือมาก
เพื่อหาโอกาสได้เข้าเฝ้ากราบทูลเสนอโครงการต่อพระเจ้าเฟอร์ดินานด์กษัตริย์สเปน
แถมยังให้น้องชาย
ไปกราบทูลพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ
และกษัตริย์ของฝรั่งเศสอีกด้วย
เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง
หากแผนเสนอของสเปนเกิดล่มขึ้นมา
แต่ปรากฏว่า ล่มมันทั้งสามแผนครับ 😨
องคมนตรีสเปนปัดตกแผนการของโคลัมบัส
เพราะใช้เงินเยอะเกินไป
(อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะโคลัมบัสเป็นชาวต่างชาติ)
ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศส อย่างที่บอกไปตอนต้นครับ ยังคงสู้รบสงครามร้อยปีกันอยู่
อินดงอินเดียอะไรไม่ไปไม่ว่าง
นั่นทำให้โคลัมบัสต้องอดทนรออีกราวเกือบ 4 ปี
เมื่ออาณาจักรสเปนรบชนะแขกมัวร์ทางตอนใต้
และได้ขยายอาณาเขต
ช่วงเวลาแห่งความยินดีนี้จึงเป็นโอกาสอันดี
ที่เขาจะเสนอเมกะโปรเจ็กต์อีกครั้ง
คราวนี้โคลัมบัสเสนอเงื่อนไขว่า
ถ้าพบดินแดนใหม่ จะนำสมบัติทุกชิ้นที่เก็บได้กลับมาถวายพระเจ้าเฟอร์ดินานด์
ดินแดนที่เขาพบ
ก็จะตกเป็นอาณานิคมของสเปนในทันที
ส่วนตัวเขาขอแค่ 10 % ก็พอ
กับขอเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ณ ดินแดนแห่งใหม่
ขอแค่นี้เอง ไม่มากเกินไปหรอกพะย่ะค่ะ
กษัติรย์เฟอร์ดินานด์ และพระราชินีอิสซาเบลลาแห่งสเปน ที่มา Wikipedia
แม้ในความคิดเห็นของเหล่าขุนนางสเปน
สิ่งที่เจ้าคนต่างชาติคนนี้ขอมันจะ "มากเกินไป"
ไม่ใช่เรื่องที่จะขอแล้วให้กันได้
แต่กษัตริย์และพระราชินีกลับทรงอนุมัติ
ให้โครงการนี้ผ่านในทันที
ความใฝ่ฝันที่รอคอยมานับสิบปี
กำลังจะเป็นความจริงแล้ว !!
..
แล้วในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1492
เรือสามลำ นำโดยซานตามารีอา ปินตา และนิญา
ก็ออกเดินทางจากหมู่เกาะคานารีของสเปน
มุ่งลงใต้สู่มหาสมุทรแอตแลนติกอันเวิ้งว้าง
ความเชื่อว่าโลกกลมของโคลัมบัส
ยังคงไม่เปลี่ยนไป
และจากการคำนวณของเขา จะใช้เวลานานประมาณ 21 วัน ถึงจะพบกับแผ่นดินใหญ่อินเดีย
แต่หลังจากที่เดินทางมาแล้ว 22 วัน
บนท้องน้ำอันเวิ้งว้าง
สิ่งที่พบ ก็ยังคงมีแต่ความว่างเปล่า ..
กะลาสีบนเรือหลายคนที่ห่างหายจากแผ่นดินใหญ่มาร่วมเดือน
กำลังเริ่มถูกคุกคามด้วยโรคร้าย
ที่คร่าชีวิตเหล่าชาวเรือในสมัยนั้นมากที่สุด
หลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคระบาด
ที่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
แต่ไม่ใช่ครับ
โรคที่ทำให้เหล่ากะลาสีเรือเสียชีวิตกันมากที่สุด
ก็คือ "โรคลักปิดลักเปิด"
หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่า "เลือดออกตามไรฟัน"
ใช่ครับ
โรคที่คนปัจจุบันซึ่งมีอาหารการกินสมบูรณ์และ
เข้าถึง "วิตามินซี" ได้อย่างง่ายดาย
แทบไม่เคยประสบ
วิตามินซีมีความสำคัญกับหลอดเลือดครับ
ช่วยเสริมผนังหลอดเลือดให้มีความแข็งแรง
หากขาดวิตามินซีไป ก็จะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดเปราะ โดยเฉพาะหลอดเลือดฝอย
และนำมาสู่อาการเลือดไหลไม่หยุด
ซึ่งโลกเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
ยิ่งกับนักเดินเรือที่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มานาน
โรคนี้คือภัยปริศนา ที่ทำให้เหล่ากะลาสีหลายคนเลือดไหลในช่องปากไม่หยุด
เหงือกบวม นำมาสู่การติดเชื้อในช่องปาก
และลามไปสู่อาการท้องเสีย บางรายอาจเกิดภาวะเลือดออกในสมอง และถึงตายในที่สุด
ย้อนกลับมาที่กองเรือของโคลัมบัส
ลูกเรือส่วนใหญ่เริ่มส่ออาการร่อแร่
ขณะที่บางคนทนไม่ไหวขอลาโลกไปก่อน
เวลาเดินทางซึ่งขยายเพิ่มมาอีกเกือบสองสัปดาห์
ทำให้กะลาสีเรือหลายคนเริ่มตัดสินใจ
เปลี่ยนแผนเดินทางกลับสเปน
แต่แล้วในกลางดึกของคืนวันที่ 12 ตุลาคม
หลังจากเดินทางรอนแรม
ข้ามน้ำข้ามทะเลกันมา 33 วัน
กะลาสีบนเรือปินตา
ก็ได้มองเห็นแผ่นดินเป็นครั้งแรก
ซึ่งปัจจุบันเป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะบาฮามาส
เกาะซานซัลวาดอร์ โลกใหม่ที่โคลัมบัสค้นพบ ที่มา Wikipedia
แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น
โคลัมบัสก็ได้ก้าวขึ้นเหยียบย่างบนดินแดนแห่งใหม่
เขาได้ประกาศยึดเป็นดินแดนของสเปน
ตั้งชื่อว่า "ซานซัลวาดอร์"
และเรียกชาวพื้นเมืองบนเกาะว่า "ชาวอินเดียน"
ด้วยความเชื่อที่ว่า
ผืนแผ่นดินที่เขาพบก็คืออินเดียในตำนานนั่นเอง
โคลัมบัสสำรวจหมู่เกาะและผืนแผ่นดินแถบนั้นอีกสักพัก
ก่อนจะขนผลหมากรากไม้และสิ่งมีค่ากลับสเปน
ข่าวการค้นพบอินเดียของโคลัมบัส
แพร่สะพัดไปทั่วยุโรป
กษัตริย์แห่งสเปนทรงยินดีเป็นอย่างมาก
แต่งตั้งให้โคลัมบัสกลายเป็นขุนนางในราชสำนัก
พร้อมดำรงตำแหน่งเป็นท่านดอน ,Don
(เทียบเท่ากับท่านลอร์ด)
นับว่าสำหรับชาวต่างชาติที่ระหกระเหเร่ร่อน
การได้รับการยอมรับในระดับนี้
ถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุด
โคลัมบัสกลายเป็นตำนาน
ของนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ !
โดยหารู้ไม่
ว่าแรงผลักดันเดียวกัน
ที่พาชีวิตของเขามาสู่ความยิ่งใหญ่
จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ในที่สุด...
...
โปรดติดตามตอนหน้า ตอนสุดท้ายจริงๆแล้วครับ
จะได้รู้กันซักทีว่าทำไมทวีปนี้ถึงชื่ออเมริกา 😁
โฆษณา