23 ก.พ. 2019 เวลา 11:53 • ธุรกิจ
คนจน : “การออมเงิน เป็นสิ่งที่ฉลาด”
คนรวย : “ผู้ออมเงิน คือผู้ที่กำลังสูญเสีย”
.
สรุปเนื้อหาหนังสือ Why the rich are getting richer ตอนที่ 2
ผมต้องขอย้ำอีกครั้งว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะเฉพาะกับคนที่พอจะมีเงินออมอยู่บ้าง
และกำลังมีคำถามว่า “ควรทำยังไงกับเงินออมก้อนนั้นดี” นะครับ
และต้องขอย้ำอีกครั้งเช่นกันว่า “คนรวย” “คนจน” “คนชั้นกลาง” ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้กำหนดกันด้วยปริมาณทรัพย์สินแต่อย่างใด โรเบิร์ตกำหนดด้วย “ความรู้ทางการเงิน” (ซึ่งหนังสือเล่มนี้กำลังให้อยู่)
.
มาเริ่มกัน ...
15 สิงหาคม 1971 คือวันที่เริ่มต้นวิกฤตการณ์ทางการเงินของทุกวันนี้ “อย่างเป็นทางการ”
15 สิงหาคม 1971 คือวันที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เอาเงินดอลลาร์ออกจากมาตรฐานทองคำอย่างสิ้นเชิง
15 สิงหาคม 1971 คือวันที่สหรัฐอเมริกาเริ่มพิมพ์เงินเองตามอำเภอใจ
15 สิงหาคม 1971 คือวันที่คนรวยเริ่มรวยขึ้น พร้อมๆ กับที่คนจนกับคนชั้นกลางเริ่มยากจนลง
15 สิงหาคม 1971 คือวันที่คนออมเงิน กลายเป็นคนที่กำลังสูญเสีย
.
สัญญาณอันตราย
8 เมษายน 1997 (หลังจากจุดเริ่มต้นแห่งหายนะถึง 26 ปี) หนังสือพ่อรวยสอนลูกถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
โรเบิร์ตต้องพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขายเอง เพราะทุกสำนักพิมพ์ล้วนตีต้นฉบับกลับ
บางคนเยาะเย้ยเขาว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”
ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนเข้าใจบทเรียนของพ่อรวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทที่ #1
“คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน”
หลักการของพ่อรวยบทที่ #1 นี้ คือหลักสำคัญที่สุดของพ่อรวย
พ่อรวยพูดกับโรเบิร์ตเสมอ “ยิ่งใครทำงานเพื่อเงินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องจ่ายภาษีมากขึ้นเท่านั้น”
.
ทำไม “ภาษี” จึงเป็นตัวละครหลัก?
หลังปี 1971 เป็นต้นมา “เงินดอลลาร์” มันไม่ได้มีสถานะเป็น “เงิน” แล้ว หลังจากวันนั้นมันกลายเป็น “สกุลเงินที่ถูกกำหนดให้เป็นทำหน้าที่เงิน” (fiat currency) เฉยๆ
.
“เงิน”(money) กับ “สกุลเงิน” (currency) ไม่เหมือนกัน ...
สิ่งที่เรียกว่า “เงิน”(money) ไม่ได้มีแค่ธนบัตรหรือเหรียญ แต่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ในแต่ละสังคม พื้นที่ วัฒนธรรม ร่วมกันยอมรับว่ามันมีค่า สามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และคุณค่าของกันและกันได้
บางชนเผ่าในแอฟริกาใช้ใบไม้เป็น “เงิน”(money)
ครั้งหนึ่งประเทศไทยก็เคยใช้เปลือกหอยเป็น “เงิน”(money)
แต่เมื่อมีการติดต่อกันกับโลกภายนอก เปลือกหอยเหล่านี้ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคมอื่นให้เป็น“เงิน”(money) กลไกการค้าและการแลกเปลี่ยนทำให้โลหะแร่ธาตุต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง กลายเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับในฐานะ “เงิน”(money) อย่างกว้างขวางกว่า
ทั่วทั้งโลกจึงใช้โลหะมีค่าเหล่านี้เป็น “เงิน”(money)
.
ส่วน“สกุลเงิน” (currency) คือ สิ่งที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็น “เงิน”(money) เพื่อความสะดวกในการแลกเปลี่ยน ทั่วโลกกำหนดให้ใช้กระดาษกับตัวเลขบนกระดาษทำหน้าที่เป็นสกุลเงิน
สกุลเงินยังคงมีค่าเป็น “เงิน”(money) ก็ต่อเมื่อทุกคนยอมรับ ...
.
แต่ตรงนี้ กำลังมีความบรรลัยเกิดขึ้นเป็นระลอก
ความบรรลัยแรก คือ ทุกคนเคยชินกับการยอมรับกระดาษเหล่านั้น เพราะกาลครั้งหนึ่ง การที่ประเทศใดจะพิมพ์กระดาษออกมาเป็นเงินได้จำนวนเท่าใด ประเทศนั้นต้องมีทองคำมายันค่าเอาไว้
มีทองเท่าไหร่ พิมพ์ได้ตามสัดส่วนที่มี
ทุกคนจึงเชื่อว่ากระดาษสามารถแลกเปลี่ยนกลับไปเป็น “เงิน”(money) ที่แท้จริงอย่างทองคำได้ในวันหนึ่ง
พูดง่ายๆ คือ ทุกคนเชื่อในค่าของกระดาษเหล่านั้น
.
แต่ยังไม่จบ
ความบรรลัยข้อต่อมา คือ หลัง 15 สิงหาคม 1971 สหรัฐอเมริกาพิมพ์ธนบัตรออกมาเองโดยไม่มีทองคำจริงๆ สักแท่งมาตั้งรอที่จะให้คนแลกเปลี่ยนกระดาษกลับไปเป็นทองได้เลย
.
และก็ยังไม่จบอีก ...
เพราะความบรรลัยพวกนี้เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง
สหรัฐพิมพ์ “เงินมโน” เหล่านี้ออกมาเป็นจำนวนมหาศาลบานทุ่งทั้งๆที่มันไม่ได้มีคุณค่าจริงๆ เป็นฐาน
และด้วยอิทธิพลของสหรัฐเอง ก็ทำให้ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ถ่านหิน เหล็กกล้า แม้แต่สินค้าเกษตร ในปริมาณที่มหาศาลต่างก็ผูกค่าไว้กับสกุลเงิน “ดอลลาร์สหรัฐ” ของพวกเขา
คำถามที่อยากชวนทุกคนให้คิดตามก็คือ ...
“ค่าที่แท้จริง” ของทุกสิ่งที่ถูกเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มันจะมีสัดส่วนที่เป็น “เงิน”(money) จริงๆ เหลืออยู่สักเท่าใด ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเล่นแบบนี้
.
และอย่าคิดว่าจะมีแต่สหรัฐที่ลำบากหากวันนึง เงินสกุลนี้ล่ม ...
ในทางตรงข้าม สหรัฐจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
เพราะประมาณเงินสดสำรองของเกือบทุกประเทศในโลกต่างผูกเทียบค่าไว้กับสกุลเงิน “ดอลลาร์สหรัฐ”
.
คำถาม :: อะไรคือ fiat currency
คำตอบ :: มันคือเงินที่ไม่มีคุณค่าเป็น “เงิน(money)ตัวจริง” มันไม่ได้ถูกหนุนด้วยทรัพย์สินหรือทรัพยากรมีค่าใดๆ เลยนอกจากสิ่งที่รัฐบาลตราขึ้นมา
คำถาม :: แล้วรัฐบาลตราสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ยังไง
คำตอบ :: รัฐบาลทำสิ่งนี้ได้ง่ายมาก แค่ออกเป็นกฎหมาย แล้วบอกว่ากระดาษพวกนี้เป็นเงินนะ ให้ใช้สิ่งนี้ในการจับจ่ายนะ ให้ใช้สิ่งนี้ชำระหนี้นะ หรือแม้แต่ “จ่ายภาษี” ด้วยสิ่งนี้นะ
แน่นอน เมื่อกำหนดมาแบบนี้ แม้เราจะเลี้ยงไก่ มีไก่เต็มทุ่ง เราก็ไม่สามารถหิ้วไก่ไปจ่ายเป็นภาษีได้
ต้องเอาไก่(สิ่งมีค่าในตัว-money)ไปแลกเจ้าสิ่งนั้น(เงิน-currency)ก่อน ถึงจะมาจ่ายภาษีได้
.
อ่านมาถึงตรงนี้ โปรดคิดตามช้าๆ ...
ถ้าวาดลงกระดาษด้วยได้เลยจะดีมาก
ช้าๆ นะครับ ... อ่านทีละบรรทัด
1.ตอนที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาในระบบ รัฐบาล “มโน” ค่าของเงินขึ้นมา (สร้าง fait currency ขึ้นมา)
2.คนทำงาน คนจน คนชั้นกลาง ต้องใช้ทรัพยากรตัวเอง แรงงานตัวเอง (ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือ คุณค่า และควรถูกเรียกว่า “เงิน” ในความหมายของ money ) เข้าแลกเพื่อให้ได้เงินมโน(currency)เหล่านี้เข้ากระเป๋า
3.รายได้ของพวกเขาถูกหัก “ภาษี” และภาษีเหล่านี้กลับคืนสู่รัฐบาล
4.คำถามคือ แท้จริงแล้ว “ภาษี” ที่รัฐบาลได้ไป มันคือ “เงินที่เกิดจากคุณค่าแท้จริง-money” หรือ “เงินที่ตราให้เป็นเงิน-currency” กันแน่ล่ะ?
.
ถ้าไม่เข้าใจ 4 ข้อข้างบนกลับไปอ่านอีกนะครับ อย่าข้าม
แต่ถ้าเข้าใจ อ่านข้างล่างต่อ
.
เห็นคีย์รึยังครับ?
“เฮ่ย! ไอ้ห่า นี่มึงฟอกเงินชัดๆ!!
1
.
ทำไมพวกเขาทำแบบนั้น?
รัฐบาลสหรัฐต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าที่พวกเขาเคยเก็บได้จากภาษี
รัฐบาลไม่รู้วิธีสร้างเงินที่ถูกต้องจากการสร้างคุณค่าที่มากขึ้น
พวกเขาเก่งกว่าในเรื่องการใช้เงิน
พวกเขามีรายจ่ายที่ต้องจ่ายอยู่ทั่วโลก
จึงจำเป็นต้องสร้างเงิน ด้วยการพิมพ์เงินมโนออกมามากขึ้นและมากขึ้น
และเอาเงินจริงๆ ไหลกลับเข้ากระเป๋าในรูปแบบภาษี
.
เงินดอลลาร์กำลังจะกลายเป็นกระดาษ
ในขณะที่ “คุณค่าแท้ๆ” มีเท่าเดิม แต่ประมาณ currency กลับมีมากขึ้น
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อสิ่งใดมีมากเกินไป สิ่งนั้นย่อมด้อยค่าลง
สกุลเงินดอลลาร์จะค่อยๆ ลดค่าลงแน่นอน
คนทำงานได้เงินเท่าเดิม แต่ข้าวของต่างๆ (ซึ่งมีคุณค่าในตัวเอง) จะแพงขึ้น เพราะเงินมันจะมีมากเกินไป
วอลแตร์ เคยกล่าวไว้ว่า “ท้ายที่สุด เงินกระดาษจะมีค่าเท่ากับตัวมันเอง – ไม่มีค่าอะไร”
.
นานมาแล้วที่เงิน “ดอลลาร์สหรัฐ” ผูกค่ากับทอง
นั่นทำให้มันมีค่าจริงๆ รัฐบาลไม่สามารถพิมพ์เงินได้ตามอำเภอใจได้
จนกระทั่งเมื่อมันกลายเป็นเงินมโน ที่คิดจะพิมพ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ...
คนที่เก็บออมเงิน จึงกำลังเสียมากกว่าได้
โดยที่พวกเขาตามไม่ทันอุบายนี้เลย ...
.
#AwakenYourFinancialGenuis
.
#ผู้กองเบนซ์
ปล.1 รัฐบาลเรา แอบทำแบบนี้บ้างรึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ?
ปล.2 อ่านจบแล้ว ได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง มาแบ่งปันกันนะครับ
โฆษณา