1 มี.ค. 2019 เวลา 10:00 • ประวัติศาสตร์
แพะรับบาป
จ๊อด เฮาดี้ ไม่ใช่เบี้ยไร้นาม ในแวดวงบู๊ลิ้มวัยคะนอง เขาคือขุนรบระดับแถวหน้า ชื่อชั้นและศักดิ์ศรีไม่ได้อ่อนด้อยกว่าใคร ไม่เป็นรองแม้กระทั่ง ปุ๊ ระเบิดขวด
เขามีพร้อมไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วฉับไวเฉียบขาดถึงลูกถึงคน และหัวใจเกินร้อยที่ไม่เคยพรั่นพรึงหน้าไหน โดยนิสัยส่วนตัว จ๊อดมักชอบบินเดี่ยวตามลำพัง ไม่ค่อยเดินติดกลุ่มเฮตามพรรคพวกมากนัก แต่เขาก็สนิทชิดเชื้อผูกพันกับแดง ไบร์เลย์ อย่างเหนียวแน่นลึกซึ้ง ไม่หยั่งงั้น คงไม่ได้ฉายาเป็นชื่อน้ำอัดลมจากโรงงานเดียวกัน เมื่อเพื่อนเจ็บเขาก็เจ็บด้วย และพร้อมที่จะทำได้ทุกอย่างเพื่อลบรอยแค้น ดังนั้น ที่ลั่นปากไว้ในวัดจึงไม่ใช่เรื่องพูดพล่อย ใกล้เที่ยงวันต่อมา จ๊อด เฮาดี้ ก็ปรากฏตัวขึ้นในละแวกวังบูรพาภิรมย์ เนื่องจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ยืนยันมั่นคงชนิดรับประกันซ่อมฟรี ว่าหนุ่มปุ๊ นัดสาวควงคู่ไปดูหนังย่านนั้นแน่นอน เขาเดินวนเวียนเสาะหาอยู่พักเดียว เป้าหมายซึ่งมีสาวรุ่นหุ่นอรชรเคียงข้างก็ผ่านเข้ามาในสายตา
นับว่าแหล่งข่าวเชื่อถือได้สมราคาคุย
5
ปุ๊ กรุงเกษม ตัวแสบรสนิยมคลาสสิค จากวงเวียนเล็ก วันนี้สลัดคราบจอมระห่ำห่ามห้าวทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ไม่พกพาแม้กระทั่งอาวุธให้เสียความรู้สึก เพราะเขามาในมาดนักรักผู้มากไปด้วยอารมณ์โรแมนติค ดาวดังฝั่งธนฯ แต่งองค์ทรงเครื่องพิถีพิถันสุดเฉียบเนี้ยบหนิง ตามแบบฉบับวัยรุ่นทันสมัยเคียงข้างด้วยเด็กสาวไฉไลซึ่งเพิ่ง "ปิ๊ง" กันได้ไม่นาน และเขากำลังพยายามที่จะสืบสานสัมพันธ์ให้แน่นหนาลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งคู่เดินคลอเคียงกันกระหนุงกระหนิงประสาหนุ่มสาว ไปบนบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จากหลังวังบูรพามุ่งสู่โรงภาพยนต์คิงส์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าติดถนนใหญ่ พอผ่านหน้าร้านโอเดียนสโตร์ซึ่งขายหนังสือสารพันชนิดวางโชว์เป็นหมวดหมู่ละลานตา ปุ๊เจิดก็เหลือบเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำ เดินสวนทางตรงเข้ามาในระยะห่างพอประมาณ เขาจำได้ว่าหมอเป็นเพื่อนซี้คนหนึ่งของแดง ไบร์เลย์ ซึ่งเจอกันเพียงผ่านๆ รู้แต่ว่าชื่อจ๊อด เฮาดี้ และนอกจากจะไม่เคยคลุกคลีคบหาสนิทสนม ยังออกจะเขม่นกันอยู่ในทีด้วยซ้ำ แรกทีเดียว ไอ้รุ่นซ่าแห่งวงเวียนเล็กกะจะเมินเฉยไม่แยแส ด้วยไม่รู้จะทักทายปราศรัยยังไงอีท่าไหน กับคนที่ต่างก็ไม่ชอบหน้ากันและกัน แต่สายตาและท่าทีของฝ่ายตรงข้ามทำให้ไม่อาจเมินผ่าน และกลับต้องรู้สึกเอะใจไหวระแวงขึ้นมาทันใด เพราะแม้จะไม่ถึงกับเพ่งจ้องคาดคั้น หมอก็เหลือบมองเขาอย่างมาดมั่นเป็นระยะๆ ขณะที่มือขวาซุกนิ่งอยู่ใต้ชายเสื้อบริเวณเข็มขัด มันผิดสังเกตและส่อพิรุธ ปุ๊ กรุงเกษมพยายามคิดในด้านดี ว่าตัวเองอาจจะระแวงเกินไป ด้วยหากจะว่ากันตามจริงมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หนุ่มหน้าเข้มจะถึงขั้นลงมือทำร้ายเขาข้อสำคัญ ต่างก็เป็นเพื่อนของเพื่อน ทว่า แม้จะพยายามคิดแบบนั้น จอมสำอางจากฝั่งธนฯ ก็ไม่วายระมัดระวังตามสัญชาตญาณ ประสาททุกส่วนตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์ทุกกระดิก ขณะที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ควงคู่อีสาวสืบเท้าเรื่อยไปตามฟุตบาท ซึ่งมีผู้คนเดินพลุกพล่านขวักไขว่ไม่ขาดสาย อีกฝ่ายก็ย่างสวนเข้ามาด้วยทีท่าปกติเช่นกันไม่กี่วินาทีก็เหลือระยะห่างไม่เกินสามเก้า พริบตานั้น จ๊อด เฮาดี้ ก็กระตุกมือขวาออกจากใต้ชายเสื้อพร้อมด้วยมีดปลายแหลมเปลือยคมขาววับ
4
"ว้าย......." สาวใหญ่คนหนึ่งซึ่งเหลือบเห็นของแหลมเข้าพอดี ตะเบ็งร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก เกือบจะวินาทีเดียวกับที่มือมีดโผนเข้าแทงหนุ่มซ่าจากวงเวียนเล็กอย่างรวดเร็ว ปุ๊ กรุงเกษม ก็ไม่ใช่เบี้ยไร้ชื่อ ถึงจะเป็นนักบู๊สำอางประเภทชอลิ่วเฮียงเขาก้มีวิทยายุทธแก่กล้ายากที่ใครจะสยบได้ในกระบวนท่าเดียว การเคลื่อนไหวจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามซึ่งอยู่ในสายตาทุกระยะ แม้จะรวดเร็วปานใดก็ย่อมไม่ยากที่จะหลบเลี่ยง เพียงเบี่ยงตัวพลิ้วออกซ้าย ปลายมีดก็กรีดฝ่าอากาศผ่านหน้าท้องไปโดยไม่ได้สะกิดสะเกาอะไรเลย ฝูงชนทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ลูกเล็กเด็กแดงบนบาทวิถีช่วงนั้นแตกฮือ เสียงหวีดร้องกรีดกราดและเสียงเอะอะมะเทิ่ง ประสานกันขึ้นอึงคะนึง มันคละเคล้าด้วยเสียงฝีเท้าสับสนของคนที่เตลิดกระเจิงออกห่างลูกจูงหลานกะเร้อกะรัง วิ่งหน้าเริ่ดข้ามถนนที่ว่างรถไปทางฝั่งห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ บางรายก็โกยอ้าวกรูเกรียวไปตามบาทวิถีฝั่งเดียวกัน แต่ประเภทชอบสอดรู้สอดเห็นเกาะติดสถานการณ์ไม่ไปไหนไกล พระเดชพระคุณสวมวิญญาฯไทยมุงขนานแท้ กระจายวงกว้างออกแค่พ้นรัศมีลูกหลงเท่านั้นเอง ก็จะดูซะอย่าง จ๊อด เฮาดี้ ซึ่งแทงพลาดและถลาเลยไปเล็กน้อย สะบัดตัวหันกลับมาพร้อมกับที่นักบู๊สำอางกระชากเสียงเดือดดาลระคนงุนงง
"เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ?" หนุ่มหน้าเข้มไม่ปริปากตอบโต้ให้เปลืองเวลา ตาดุดันวาวจ้าเหลือบประกายเขียวเรืองซึ่งเป็นแววอำมหิตที่ไม่มีใครเหมือน มือขวากำมีดกระชับมั่นโถมแทงเป็นคำรบสอง ปุ๊ เจิดฉากหลบว่องไวเช่นเคย และพอปรปักษ์เสียหลักคะมำถลาถลำผ่านไปตามจังหวะการแทงที่พลาดเป้า เขาก็นิมนต์ทั้งหลวงพ่อโดด หลวงพ่อเผ่น และหลวงพ่อโกย เปิดหนีอย่างไม่รั้งรอ จะอยู่ช้าได้ยังไง? ในเมื่อปราศจากอาวุธที่จะต่อสู้ป้องกันตัวพอสมน้ำสมเนื้อ และไอ้ที่ไล่แทงเขาก็มือธรรมดาซะเมื่อไหร่ พระกาฬดีๆนี่เอง แต่แม้จะเผ่นหนี เรื่องก็ยังไม่จบ เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง จ๊อด เฮาดี้ก็หมุนตัวทะยานตามอย่างไม่ลดละ โดยมีมีดแหลมน่าพรั่นเงื้อง่าอยู่ในมือ ชาวบ้านร้านตลาดแตกกระเจิงหลีกทางกันจ้าละหวั่น ท่ามกลางเสียงหวีดว้ายเจี๊ยวจ๊าวแซ่แซ่ว ทั้งคู่ สับตีนตะบึงหนีและไล่กันไปตามบาทวิถีไม่ไกลนัก เบื้องหน้าก็มีร่างบึกบึนในเครื่องแบบสีกากีขึงขังครอบศรีษะด้วยหมวกทรงหม้อตาลแหวกคนสวนมาอย่างเร่งร้อน แม่นแล้ว ตำรวจ จ๊อด เฮาดี้ ซึ่งเห็นโปลิสพร้อมๆกับคนถูกไล่แทง ชะงักเท้าหยุดกึก และแล้วก็ตาลีตาเหลือกหันหลังกลับ วิ่งผล็อบแผล็บปนเปในหมู่คนที่กำลังแตกตื่นระส่ำระสาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในเครื่องแบบทะมัดทะแมงติดยศสิบโทซึ่งเพิ่งพรวดพราดมาถึงชะเง้อชะแง้มองตามและขยับท่าจะไล่กวด แต่ร่างของจ๊อด เฮาดี้หายลับไปซะแล้ว ผู้หมู่จึงหันขวับมาทางคู่กรณีที่หยุดยืนเงียบอยู่ใกล้ๆ และตวัดเสียงถาม
"มีเรื่องอะไรกันรึ?" ปุ๊ กรุงเกษม วางสีหน้าสงบเฉยพลางเอ่ยตอบเรียบๆ
"เขาไล่แทงผมครับ"
"มันเพราะอะไร"
"ผมก็ไม่ทราบ"
"มันต้องมีสาเหตุซีน่ะ"
"ไม่มีครับ จู่ๆเจอหน้ากับเขาก็โดดแทงเอาดื้อๆ ดีที่ผมหลบทัน"
"รู้จักกันมาก่อนรีเปล่า?" ดาวดังฝั่งธนฯ สั่นศรีษะ ปฏิเสธหนักแน่น
"ไม่รู้จักครับ"
"เอ๊ะ ยังไงกันแน่......?"
"ผมเองก็ยังงงๆ"
"นี่จะแจ้งความมั้ย?"
"ไม่มีประโยชน์หรอกครับ แจ้งไปก็เท่านั้นผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร"
"ถ้างั้น....." เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เอ่ยสั้นๆชัดคำ "ลืมมันเสียเถอะครับ" สิบโทโปลิศกระพริบตาปริบๆ จ้องมองคนถูกไล่แทงนิ่งอั้นอยู่ชั่วขณะก็ตวัดเสียงถามย้ำ "แปลว่าคุณไม่เอาเรื่อง......?" หนุ่มซ่าจากฝั่งธนฯ เลิกคิ้ว
"จะไปเอากะใครล่ะครับ?"
"งั้นก็..........ตามใจ" ผู้หมู่ทิ้งเสียงอย่างคร้านจะเซ้าซี้ให้ยาวความแบมือหยักไหล่นิดๆ แล้วหมุนตัวผละไป ปุ๊ กรุงเกษม ระบายลมหายใจแผ่ว พลางกวาดสายตามองสำรวจรอบข้าง ซึ่งก็ได้เห็นแต่ชาวบ้านร้านช่องที่กำลังกระจายย้ายแยกกันไปตามทางใครทางมัน ไม่เจอแม้แต่เงาของสาวรุ่นคู่ควงที่หมายมั่นปั้นมือจะมานั่งจู๋จี๋กันในโรงหนัง เธอคงตกใจเตลิดหนีไปชนิดกู่ไม่กลับ ก็ช่างเถอะ เขาเองก็หมดอารมณ์สนุกเสียแล้ว ที่ยังค้างคาคุคั่งในอกมีแต่ความอับอายเจ็บแค้นที่ถูกหมิ่นหยามต่อหน้าธารกำนัล และงุนงงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ? เพื่อนของพระแดงถึงได้ลงมือรุนแรงกับเขาขนาดนี้ จ๊อด เฮาดี้ กระทำเองโดยพลการ หรือว่ารับคำสั่งมาจากใคร? มันเป็นเรื่องที่เจ้าถิ่นวงเวียนเล็กไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สะสางอย่างแน่นอน งานนี้ จะต้องเคลียร์กันให้จบ
จากวังบูรพา ปุ๊ กรุงเกษม พกพาเอาความเจ็บช้ำระเห็จข้ามเจ้าพระยากลับฝั่งธนบุรี มุ่งไปหานัเลงใหญ่รุ่นพี่ซึ่งเป็นที่ยำเกรงของน้องนุ่งไม่ว่าจะเป็น จ๊อด เฮาดี้ หรือ แดงไบร์เลย์ และรวมทั้งตัวเขาเองก็ให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คนๆนั้นไม่ใช่ใครอื่น พจน์ เจริญพาสน์ ความยิ่งใหญ่ของพจน์ในสมัยนั้นไม่ใช่ธรรมดา ด้วยว่าเขาอยู่ในฐานะหัวหน้าคุมกองกำลังนักบู๊ สังกัดช่างกลพระนครเหนือทั้งหมด เป็นขุนทัพนักรบอาชีวะจำนวนเรือนพันซึ่งล้วนห้าวระห่ำเหี้ยมหาญเป็นที่ครั่นคร้ามเข็ดเขี้ยวกันไปทั่ว ใครจะริอ่านวัดชั้นก็ต้องหยุดคิดกันสิบแปดตลบ แล้วเก็บฉากกลับเข้าโรง ก็ไม่กล้านะสิขอรับ ท่านสารวัตร เมื่อพบหน้าตั้วเฮีย ปุ๊ กรุงเกษม ก็แจกแจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้รับรู้อย่างละเอียดละออตั้งแต่ต้น พจน์ เจริญพาสน์ นิ่งฟังในอาการสงบจนจบความ ถึงได้เอ่ยเสียงขรึม
1
"จ๊อดทำแบบนี้ก็ไม่ถูก ปุ๊ ไม่ใช่อื่นไกลนี่นาเพื่อนพระแดงเหมือนกัน"
"นั่นนะสิครับ......." เด็กหนุ่มเสริม "........ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาไล่แทงกัน? มันมีสาเหตุมาจากอะไร ? ใครสั่ง? และที่แน่ๆ ก็คือ .........ผมทั้งขมขื่นอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี"
"พี่เข้าใจความรู้สึกของเอ็ง......ปุ๊"
"ขอบคุณ พี่พอจะช่วยเคลียร์เรื่องนี้ให้ผมได้มั้ย?"
"ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวพี่จะให้คนไปตามจ๊อดเอาตัซมาซักถามดูซิ"
1
"มาที่นี่รึครับ?"
รุ่นใหญ่ส่ายหน้า "ไม่ พี่จะนัดเจอฝั่งโน้นวันพรุ่งนี้"
2
"ที่ไหนครับ?"
"ร้านกาแฟปากตรอกพระสวัสดิ์ บางลำภู พี่จะข้ามฝั่งไปเอง"
1
"ผมล่ะ?"
"ปุ๊ก็ไปด้วยกัน มีอะไรขัดข้องรึเปล่า?"
"ไม่ครับ ว่าแต่ถ้าเรื่องนี้.......มีคนอยู่เบื้องหลังสั่งการลงมา......?"
"ก็ต้องสาวให้ถึง ขอคำชี้แจงและควรจะมีคำของโทษปุ๊ด้วย"
"ถ้าเขาไม่ยอม.......?" ตั้วเฮียแผ่วหัวเราะลึกๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
"มันก็จะได้รู้ว่าบทเรียนครั้งนี้ ราคาแพงบัดซบ"
สายจัดวันรุ่งขึ้น มันเป็นเวลาประมาณสิบโมงเศษ ขณะที่ปุ๊ กรุงเกษม ก้าวตามพจน์ เจริญพาสน์ เข้าไปในร้านกาแฟอันเป็นจุดนัดพบ และก็ปรากฎว่า จ๊อด เฮาดี้ กำลังนั่งสงบรออยู่ตามลำพังที่โต๊ะมุมในสุดของร้านซึ่งว่างโหรงเหรง หมอลุกขึ้นกระพุ่มมือคารวะรุ่นใหญ่ตามธรรมเนียม ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆ กับคู่กรณี ซึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้เมินเฉย ก็แน่ละ ใครมันจะมีกะใจแย้มยิ้มกับคนที่ไล่แทงตัวเองหวิดเป็นหวิดตายมาเมื่อวาน พอยอบตัวลงนั่งโต๊ะกันเรียบร้อย และสั่งน้ำอัดลมมาตั้งหน้าคนละขวด ตั้วเฮียเอ่ยเสียงเคร่ง "จ๊อด รู้รึยังว่าพี่เรียกเอ็งมาทำไม?" หนุ่มหน้าเข้มค้อมศรีษะ
"รู้ครับ ไอ้คนที่ไปตามบอกผมแล้ว" พจน์ เจริญพาสน์ บิดหัวแม่มือขวาชี้จอมซ่าจากวงเวียนเล็ก
"ขานี้เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกะเอ็ง?"
"ไม่มีครับ"
"แล้วไหงไปไล่แทงเขาล่ะ?"
"ก็.......เป็นเพราะปุ๊ ระเบิดขวด มันคอยอาละวาดก่อกวนพวกพระแดงหนักข้อขึ้นทุกวัน จนแต่ละคนแทบโผล่หัวไปไหนไม่ได้ แถมยังมีข่าวแว่วๆว่าไอ้หมอนี่กำเริบเสิบสานถึงขนาดเตรียมการจะเปิดศึกใหญ่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังอยู่ในผ้าเหลือง ผมทนไม่ไหวก็เลยไปดักแทง"
"เฮ้ย แต่นี่มันคนละปุ๊........"
"ครับ ทำลงไปแล้วผมถึงมารู้ทีหลังว่าผิดตัว" รุ่นใหญ่ทำหน้านิ่ว "ผิดได้ยังไง" ก็กลางวันแสกๆ เห็นหน้าเห็นตากันออกชัดเจนยังกะอะไรดี" จ๊อด เฮาดี้ ทำตาปรอย "ผมไม่รู้จักไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด"
1
"อ้าว........"
"เคยเห็นแต่ปุ๊นี่ก็ปักใจว่าใช่ ไม่นึกว่าจะมีปุ๊ทีเดียวสองคน"
"อะไรกัน?"
"จริงๆ นะพี่ ผมไม่ได้โกหก" หนุ่มมือมีดยืนยันหนักแน่นจริงจัง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าท่าทาง พี่เอื้อยรุ่นใหญ่ยกขวดขึ้นคาบหลอดดูดน้ำอัดลมเต็มอีก หรี่ตานิ่งในลักษณะไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะก็ผงกศรีษะเนิบช้าด้วยท่วงท่าสุขุม พลางเอ่ยอย่างใคร่ครวญ
"เมื่อเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังสลับซับซ้อน"
"ก็มีเท่าที่ชี้แจงให้ฟังน่ะแหละ ........" มือมีดว่า ".....ผมตั้งใจไปแทง ไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด เพราะเจ็บแค้นแทนพระแดง"
"ว่าแต่พระรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?"
"รู้ทีหลังครับ ก่อนลงมือผมไม่กล้าบอกเห็นว่าท่านอยู่ในผ้าเหลือง"
"แล้วเมื่อเล่นผิดคนเอ็งควรจะทำยังไง" จ๊อด เฮาดี้ หันมายิ้มเจื่อนๆ กับดาวดังฝั่งธนฯ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อน
1
"ขอโทษอย่างแรง.....เพื่อน เราไม่รู้จริงๆ คิดว่านายเป็นคนๆเดียวกับปุ๊ตัวแสบ หวังว่าคงให้อภัย" ปุ๊ กรุงเกษม หยักหน้าขรึมๆ
"โหสิ แต่แค่ขอโทษมันยังไม่พอ"
"อ้าว....."
"ต้องไปยืนยันต่อหน้าพระแดง ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก"
"ใช่......." ตั้วเฮียสนับสนุน....... "ต้องให้พระแดงได้ร่วมรับรู้เป็นสักขีพยาน และเอ็งสองคนควรจะไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย" ไอ้รุ่นแสบแห่งย่านวงเวียนเล็กกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น
"พี่พจน์ล่ะ?"
"ก็ต้องนั่งอยู่ก่อน พี่นัดแขกไว้ที่นี่อีกรายนึงพวกเอ็งรีบไปกันเถอะ" สองหนุ่มจัดการกับน้ำอัดลมจนหมดขวดแล้วลุกขึ้นบอกลา และอีกเพียงสิบกว่านาทีให้หลัง จ๊อด เฮาดี้ กับ ปุ๊ กรุงเกษม ก็เดินเคียงกันโผล่เข้าไปในลานหน้ากุฏิก่ออิฐถือปูนชั้นเดียวหลังย่อม สถานที่จ่ำพรรษาของพระใหม่ ซึ่งคับคั่งด้วยบรรดาลูกศิษย์หนุ่มคะนองมากหน้า ทันทีที่สองคนปรากฎตัว หนึ่งในจำนวนนั้นก็แผดตะโกนเอ็ดอึง "เฮ้ย ไอ้ปุ๊มา ไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด" ปุ๊ กรุงเกษม ชะงักเท้าหยุดกึก เสียงตะโกนบอกว่าเขาเป็นปุ๊ระเบอดขวดไม่ใช่ดีเลยสักนิด และมันชี้ชัดว่าบรรดาพวกพ้องบริวารของเจ้าถิ่นตรอกไบร์เลย์ก็เช่นเดียวกับจ๊อด เฮาดี้ ไม่มีใครรู้จักปุ๊ ระเบิดขวด หลังเสียงเอะอะ แหลมสิงห์,แดง ไตรรงค์, แก้ว ไบร์เล่ย์ กับหนุ่มห้าววัยเดียวกันอีกสี่ห้านายซึ่งล้วนมีมีดไม้ครบมือ กรูเกรียวมาจากทุกทิศ และด้วยทีท่าอาการกระเหี้ยนกระหือ "เฮ้ย เฮ้ย ไอ้ปุ๊เขามาพูดคุยกะเรา อย่าเพิ่ง" จ๊อด เฮาดี้ ระล่ำระลักร้องห้ามพลางยกมือโบกวุ่น แต่ก็เท่านั้น มันเพียงแต่ลดดีกรีของความร้อนแรงได้รับดับหนึ่งและไม่มากนัก หนุ่มราชทัณฑ์ยังสะอึกเข้ามาจี้ดาวดังฝั่งธนฯ ด้วยดาบเปลือยคมขาววับ สะกดไว้ไม่ให้หือหรือออกอาการยึกยัก และแล้ว ฝักดาบในมือซ้ายก็หวดลงกลางกบาลด้วยความเครียดแค้นระคนหมั่นใส้
โป๊ก........ นักบู๊พลัดถิ่นทำคอย่น แยกเขี้ยวเบี้ยวปากหลับตาปี๋
ผัวะ......... ไม่รู้ใครประเคนฝ่ามือหนักๆ ตบท้ายทอยดังสนั่น ตามด้วยแข้งอีกดุ้นหนึ่งนาบเข้ากลางหลังเต็มเงี่ยงเต็มงา บึ้ก........
นักเลงเดี่ยวจากวงเวียนเล็กถึงกับเซถลาเสียหลักคะมำหัวซุกหัวซุนไปหาบันไดซิเมนต์เตี้ยๆ ทางขึ้นกุฏิชั้นเดียว โดยมีเสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่จี้ตามหลัง พริบตานั้น เสียงกร้าวกระด้างมีกังวานเฉียบขาดก็แผดลั่นขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
1
"หยุดนะ......" เสียงพระใหม่เจ้าของกุฏินั่นเอง ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งขืนตัวชะงักหยุดในท่าก้มหน้า ขบกรามนิ่งด้วยความคับแค้น ไม่ว่าจะเป้นเวลาใด เขาไม่เคยคิดร้ายต่อพระแดงและสมัครพรรคพวกเลยสักนิด ไฉนได้รับผลตอบแทนเยี่ยงนี้? โดนจ๊อด เฮาดี้ไล่แทงให้เป็นที่อับอายขายหน้าก็เจ็บปวดขมขื่นพออยู่แล้ว ยังมาถูกรุมข่มเหงซ้ำเข้าอีก หรือว่าถึงคราวที่จะต้องเป็นศัตรูกัน?
"พวกเอ็งทำแบบนี้ได้ยังไง........?" พระใหม่เอะอะต่ออย่างฉุนเฉียว "........เก็บมีดเก็บไม้ถอยออกไปเดี๋ยวนี้"
"พระแดง......" เสียงหนุ่มผู้คุมร้องแย้ง
"นี่มันไอ้ปุ๊ไม่ใช่เรอะ?"
"ใช่"
"อ้าว......."
"แต่ไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด"
"เอ๊ะ?งั้น......"
"นี่คือปุ๊ บรรเจิด เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของอาตมา ซึ่งบังเอิญไปเดินกะไอ้ปุ๊ ระเบิดเป็นครั้งคราว"
"ก็มันพวกเดียวกัน"
"ไม่ เขาอยู่ตรงกลางเป็นเพื่อนทั้งสองฝ่าย จะยังไงปุ๊ บรรเจิดก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา ขอเถอะ.....แหลมสิงห์....คนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันหน้า อย่าแตะต้องเขาอีก" จบคำ นักเลงเดี่ยวผู้มาตามลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบ เงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยสายตาที่ยังไม่ทิ้งวี่แววของความปวดร้าว ก็ใครเล่าจะยินดีกับการถูกเหยียบย้ำหมิ่นหยาม? เขาได้พบว่าผู้ครองเพศบรรพชิตซึ่งถลันพรวดพราดออกมาจากกุฏิ กำลังยืนเดินอยู่บนระเบียงแคบๆ เหนือบันใด และพอสบตากัน พระใหม่ก็เอ่ยเสียงอ่อน
1
"โยมปุ๊ อาตมาขอโทษ" หนุ่มพลัดถิ่นฝืนยิ้มแห้งแล้ง "ท่านไม่ได้ทำอะไรผมนี่ครับ"
"แต่คนของอาตมาทำ"
"ช่างมันเถอะ ท่านคงสบายดี?"
"ก็ตามอัตภาพน่ะแหละ โยม"
"ที่มาครั้งนี้ .......ก็เพื่อเคลียร์เรื่องที่จ๊อดไล่แทงผม" สีหน้าของผู้อยู่ในร่มกาสาวพัสต์หม่นม่อยลงเล็กน้อย
"เรื่องนั้น......อาตมาก็เสียใจ"
"ไม่เป็นไรครับ เมื่อท่านได้ยืนยันกับทุกคนแล้วว่าผมไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด ผมก็ขอลา" เจ้าขอกุฏิรีบยกมือห้าม "อ๊ะ ไม่ได้" นักเลงเดี่ยวขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะครับ?"
"จะรีบไปไหนเล่า......โยม? เรามีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่ ขึ้นมาคุยกะอาตมาก่อนซี่เดี๋ยวหลังเพลกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับ"
"แต่ว่า........."
"ไม่มีแต่ ขึ้นมาเถอะ อาตมาเชิญ" ผู้ครองเพศบรรพชิตสรุปรวบรัดตัดบทแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าประตูกุฏิหายลับ
ปุ๊ กรุงเกษม ระบายลมหายใจแผ่ว แน่นอน เขาหมดทางปฏิเสธ
สองจอมประลัยกัลป์ ปุ๊ ระเบิดขวด กับดำ เอ๊สโซ่ กำลังอยู่ในร้านหรดีย่านหลังวัง ขณะที่ตะวันคล้อยบ่าย ทั้งคู่ ละเลียดโอเลี้ยงไปพลางสอดส่ายสายตามองหาพลพรรคแก๊งวัยรุ่นคู่อริที่อาจจะพลัดหลงมารับเคราะห์ ทว่า คนที่กระหืดกระหอบเข้ามาในร้านกลับเป็นลิ่วล้อของตัวเอง ซึ่งพอจ่อมก้นลงบนเก้าอี้ว่งหมอนั่นก็ตวัดเสียงเร็วปรื๋อ
2
"รู้มั้ย ? ฉันตามหาพี่ทั้งสองคนซะแทบแย่ไปมาหมดทั้งที่บ้าน สิบสามห้าง กระทั่งโรงโบว์ลิ่ง" ขาใหญ่บางลำภูร้องสั่งโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้สมุนปลายแถวแล้วขมวดคิ้วกังขา
"เอ็งไปโดนใครไล่กระทืบมา งั้นเรอะ?"
"เปล่า"
"แล้วไหงตระเวนหาข้าซะทั่วกรุง?"
"ฉันมีข่าวสำคัญจะรายงาน"
"ข่าวอะไร?" ลิ้วล้อก้มดูดโอเลี้ยงที่คนเสิร์ฟยกมาตั้งให้ตรงหน้าหวิดครึ่งแก้ว ก่อนบอก "ปุ๊เจิดโดนแหลมสิงห์ไล่ฟัน" หัวโจกสะดุ้งเฮือก ตาเบิกโพลง "ฮ้า จริงเรอะ?"
"ฉันจะมาโกหกทำไม ไมใช่เรื่องจะล้อกันเล่นนี่นา"
"เดี๋ยว แหลมสิงห์ไล่ฟันปุ๊เจิดที่ไหน?"
"ที่กุฏิพระแดง ในวัดสุทัศน์"
"อะไรกัน ? ก็มันเป็นเพื่อนพระแดง"
"ใช่ แต่ตอนนั้นพระอยู่ในกุฏิ ยังดีที่เผ่นออกมาห้ามไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังเละคาที่ เพราะพี่แกตัวคนเดียวเลยเจอทั้งมือตีนและอีดาบครบเครื่องต้มยำ"
1
"โดนเข้ากี่แผลล่ะ?"
"ไม่มีแผล แหลมสิงห์มันหวดด้วยดาบทั้งฝัก เห็นว่าล่อเข้ากลางกบาลเปรี้ยงบะเร่อ"
"ปุ๊เจิดยังอยู่ที่วัดรึเปล่า"
"ป่านนี้คงกลับมาบ้านแล้ว" จิ้งจอกอันตรายจากตรอกสาเกควักเงินค่าโอเลี้ยงวางลงบนโต๊ะก่อนพรวดลุกขึ้นพยักหน้ากับคู่ซี้
"ไปวะ ดำ" นักเลงสวนมะลิยันตัวลุกจากเก้าอี้ แต่ก็ไม่วายเลิกคิ้วถาม "ไปไหน?"
"บ้านไอ้ปุ๊ เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้เด็ดขาด ต้องไปพาเพื่อนมาแก้คืน"
"จะแก้ยังไงวะ?" ก็พวกห่านั้นหดหัวอยู่แต่ในวัด"
"จะแปลกอะไร ในวัดไม่ได้มีตำรวจ"
"เฮ้ย นี่หมายความว่า......?" ปุ๊ ระเบิดขวด เคี้ยวกรามกร้วมสนั่น ตาดุดันแข็งกร้าวโชนประกายวาวจ้าขณะกระแทกเสียงเฉียบ
"ข้าจะบุกวัดสุทัศน์"
ขอของคุณข้อมูลและภาพ : ตำนานคดีดัง , wikipedia,หนังสือ เดินอย่างปุ๊ เรียบเรียงโดย ปุ๊ กรุงเกษม
โฆษณา