2 มี.ค. 2019 เวลา 08:15
2499 อันธพาลครองเมือง
"หล่อ ปังตอ" ฉายานี้ได้มาเพราะขาดอาวุธ
หลังจากที่ ปุ๊ ระเบิดขวด ถูกจับกุมดำเนินคดีตามครรลองของกฏหมายบ้านเมือง แดง ไบร์เลย์ ก็ยังคงเตร็ดเตร่อยู่ในละแวกสิบสามห้างบางลำภูถิ่นเก่า เขาไม่ชอบเดินสายตระเวนหาเรื่อง ด้วยไม่ใช่วัยรุ่นประเภทติดเชื้อหมาบ้าซ่าตลอดศก ตามปกติ ลักษณะท่าทางตลอดจนการวางตัวของแดงค่อนข้างจะสุภาพเรียบร้อย บางเวลาออกจะสงบเสงี่ยมด้วยซ้ำ แต่หากถึงคราวมีเรื่องได้เสีย บุคลิกของเขาจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน ทั้งแรงและรวดเร็ว แดงไม่ใช่คนไร้การศึกษาเสียเลยทีเดียว เขาเคยเรียนที่วัดมกุฎฯ จนจบมัธยมปีที่สามแล้วก็เลิกราด้วยใจไม่รัก มารดาบังเกิดเกล้าก็ไม่ได้เป็นโสเภณีในตรอกสลักหิน ดังที่นักบิดเบือนโมเมอ้างอิงโดยไร้ความรับผิดชอบ เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในซ่องนางโลมจริง และเป็นซ่องที่ตั้งอยู่ด้านหลังเรือนจำคลองเปรม คนละมุมเมืองกับตรอกสลักหินหัวลำโพง
1
แต่ "แม่เชย" ก็ไม่ได้ขายตัว
เธอทำหน้าที่ในฐานะแม่บ้าน รับผิดชอบเรื่องซักรีดทำความสะอาดและอาหารการกินสำหรับทุกคน และอยู่นานจนกระทั่งเจ้าของเดิมวางมือโอนกิจการให้รับช่วงต่อด้วยเห็นว่าเธอมีลูกเป็นภาระที่จะต้องเลี้ยงดูส่งเสีย แม่เชยก็เลยกลายเป็นเจ้าสำนักไปโดยอัตโนมัติ ในช่วงของแดง ไบร์เลย์ พฤติกรรมที่ปฏิบัติเป็นกิจวัตรก็คือพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวและไว้ผมเผ้าเลียนแบบดาราคนโปรด ออกจากบ้านมานั่งแช่ตามร้านกาแฟพูดคุยเฮฮากับเพื่อนพ้องหยอดเหรียญเลือกฟังเพลงไปตามประสามวัยรุ่นคะนองซึ่งมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ไม่ได้ไปเที่ยวเกะกะระรานสุจริตชน จี้ปล้นฉกชิงหรือบังคับข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองอะไรทำนองนั้น ถึงจะริอ่านประพฤติเยี่ยงนั้นก็เถอะ สุนัขที่ไหนมันจะยอมจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้เด็กอายุสิบแปด ซึ่งไม่มีปืนซักกระบอก ? ข้อเสียอย่างแรงของพวกเขา มันอยู่ตรงที่กระทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มวัยรุ่นถึงขั้นยกพวกเข้าตะลุมบอนกัน ซึ่งมักจะเกิดผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านร้านตลาดแทบทุกครั้งครา
1
และแน่ละว่ามันต้องมีอีก !
ขณะที่แดง ไบร์เลย์ ปักหลักสิงสู่อยู่ในถิ่นบางลำภู หล่อ สะพานขาว ผู้เปรียบเสมือนแขนซ้ายของปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งรอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจมาด้วยกัน ก็ยังใส่ขาสั้นหอบสมุดไปโรงเรียนศิริศาสตร์แถวศรีย่านอย่างสม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่ไปเพื่อโดดร่ม ตามแบบฉบับของวัยรุ่นเริงเมือง ที่ชอบเที่ยวเตร่ดูหนังฟังเพลงสนุกสนานไปวันๆ มากกว่าจะมุ่งเอาดีทางเล่าเรียนเขียนอ่าน
วันนี้ก็เช่นกัน !
หล่อพร้อมด้วยเพื่อนร่วมก๊วนอันประกอบด้วย "ศักดิ์ ช่วง" และ "ตี๋ มาเวอริค" ชวนกันโดดเรียนภาคบ่ายเหมือนเคย จากนั้นก็โหนรถเมล์มาลงที่ปากตรอกวัดราชา ใกล้ๆ กับโรงเรียนเซนต์คาเบรียล จุดประสงค์ก็เพื่อมานั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์ ฟังเพลงมันๆ ที่ร้านหลุยส์ในย่านนั้น พอไปถึงที่หมาย สามเกลอนักโดดร่อมอาชีพก็ได้พบว่าในร้านมีเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่ นั่งสุ่มกันอยู่ตรงโต๊ะใกล้ตู้เพลงถึงเจ็ดแปดคน
และทั้งชุด ล้วนเป็นเจ้าถิ่นประจำตรอกวัดราชา!
ยิ่งไปกว่านั้น สายตาและท่าทางของแต่ละหน่อก็เหมือนจะประกาศอหังการ์อยู่ในที ว่าถิ่นนี้กูใหญ่ มันทำให้บรรยากาศไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย! แต่ไอ้ครั้นจะถอยกลับก็ใช่ที่ เพราะอุตส่าห์ถ่อสังขารมาตั้งไกล อีกประการหนึ่ง กะอีแค่นั่งฟังเพลงเฉยๆไม่ไปวุ่นวายกะใคร มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา คิดสะระตะแล้ว หล่อ สะพานขาว ก็พาพรรคพวกเข้าไปเลือกนั่งโต๊ะห่างจากกลุ่มแรกคนละมุมร้าน ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งโขยงต่างก็คอย "เหล่" ตามทุกกระดิก และด้วยสายตาของหมาป่าที่มองดูฝูงลูกแกะตัวน้อย ซึ่งมันจะโดดเข้าขย้ำเสียเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะวัยรุ่นแปลกถิ่นมากันแค่สาม ลักษณะท่าทีก็ไม่ได้ส่อแสดงว่าจะเป็นนักบู๊เหี้ยมหาญ นอกจากศักดิ์ช่วง หล่อกับตี๋ล้วนหน้าจืดเหมือนไอ้ขี้แยด้วยกันทั้งคู่ แถมยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน หิ้วสมุดหนังสือติดตัวไม่มีตรงไหนน่ากลัวสักนิด พอทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อย ตี๋ มาเวอริค ก็สั่งโอเลี้ยงมาแก้กระหายก่อนอื่น จากนั้นก็เรียกเอาบุหรี่ บังเอิญพี่แกพกเงินติดกระเป๋ามาหลายสิบเลยสั่งทีละซอง ซึ่งที่จริงก็ไม่ผิดกฎกติกามารยาทอันใด แต่มันดันไปเข้าทางเจ้าถิ่นซึ่งจ้องจะแขวะอยู่แล้ว เสียงแซวจึงลอยสวนมาทันใด!
"ลูกเศรษฐีมาจากไหนวะ ?
1
ทุ้ยย์ อวดรวยสั่งบุหรี่ทีละซอง!"
หน้าขาวๆ ของอาตี๋แดงก่ำขึ้นมาในฉับพลัน จริงอยู่ ยุคนั้นวัยรุ่นทั่วไปหากไม่ใช่ลูกเสี่ยไม่มีใครซื้อบุหรี่ยกซอง ส่วนใหญ่มักสั่งกันทีละสองมวนสี่มวนหรืออาจจะเป็นห้า ซึ่งก็แล้วแต่ยี่ห้อ ใครซื้อเป็นซองแสดงว่าต้องมีกะตังค์ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะโอ้อวดหรือเกทับหน้าไหน เด็กเสิร์ฟประจำร้านยกจานใส่บุหรี่พร้อมทั้งไม้ขีดมาวางไว้ให้ แล้วหมุนตัวผละไปก่อนที่หล่อจะเอ่ยเบาๆเป็นเชิงเตือนสติ
"อย่าไปสนใจมัน.........ตี๋ ถือซะว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน"
ตี๋ มาเวอริค ไม่ปริปากโต้แย้งหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาแกะจุดสูบอัดควันเข้าปอดลึกๆเพื่อระงับอารมณ์พลุ่งพล่าน ชั่วครู่ก็ล้วงเหรียญจากกระเป๋ากางเกงลุกขึ้นวางหน้าเฉยเดินไปหยอดตู้เลือกเพลง และพอกลับมาจ่อมก้นลงบนเก้าอี้ที่เดิม RETURN TO SENDER อันร้อนแรงของพอยอดชายเอลวิส เพรสลี่ย์ก็ระเบิดกระหึ่มออกมาจากลำโพงสเตอริโอ ทันทีที่เพลงขึ้น บรรดาเจ้าหน้าที่ทางซึ่งนั่งโต๊ะคนละมุมร้านก็เริ่มมีอาการสันนิบาตกิน ชักกระตุกยึกยักตบมือตีตีนกันอึงคะนึง บางคนก็ดันทะลึ่งแหกปากร้องตาม ทั้งๆที่วิชาภาษาอังกฤษสอบตกมันยันเต หนักๆเข้า เด็กหนุ่มไว้ผมทรงเอลวิสสองสามนาย ใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งกางเกงเป้าต่ำคับติ้วคาดเข็มคัดเส้นโต รองเท้าเป็นแบบฮาล์ฟบู๊ท หัวแหลมเปี๊ยบ ก็ออกมาวาดลวดลายเต้นทวิสต์บิดเร่าอยู่หน้าตู้เพลง ท่ามกลางเสียงปรบมือเคาะโต๊ะให้จังหวะเป็นที่ครึกครื้น จบเพลงแรก JAILHOUDE ROCK อันสุดมันก็แฟดเร่าขึ้นมากระหน่ำรูหู คราวนี้ วัยรุ่นตรอกวัดราชาเกือบทั้งโต๊ะ ลุกขึ้นโชสเต็ปกันสุดฤทธิ์สุดเดช และไม่เพียงแต่จะเต้นพลางตะเบ็งเสียงร้องตามเท่านั้น ไอ้ที่คึกจัดยังเป่าปากเปี้ยวป๊าวแหลมลั่น หล่อ สะพานขาว เริ่มจะหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทั้งๆที่พยายามข่มกลั้นด้วยขันติ แต่ก็จวนเจียนจะกลายเป็นขันแตกอยู่รอมร่อแร่ เพราะลีลาท่าทางของฝ่ายตรงข้ามที่ออกมาโขยกเขย่ากันชุลมุนวุ่นวาย บอกชัดว่าไม่ใช่ด้วยความคึกคะนองสนุกสนานประการเดียว เรื่องสนุกเป็นเพียงผลพลอยได้ เจตนาแท้จริงก็เพื่ออวดศักดาข่มขู่ หมิ่นหยามแกมท้าทายอยู่ในที ก็พวกเยอะกว่านี่หว่า หล่อสบตาเพื่อร่วมโต๊ะ ซึ่งต่างก็นิ่งอั้นพูดไม่ออก แล้วเอ่ยถามเครียดๆ
"ตี๋ เอ็งหยอดไว้กี่เพลง ?"
"ก็แค่นี้แหละ" อีกฝ่ายตอบเสียงขุ่น
"งั้นไปหยอดต่อ เอาไอ้ประเภทที่ไม่ต้องมีลิงมีค่างออกมาเต้นแร้งเต้นกาให้เสียความรู้สึก"
ตี๋ มาเวอริค อัดควันอีกพรืด ทิ้งก้นบุหรี่ลงบี้ด้วยพื้นรองเท้า ลุกจากโต๊ะเดินหลบหลีกบรรดาราชาร็อคตรงเข้าหาตู้เพลง เพียงชั่วอึดใจก็กลับมาทรุดนั่งที่เก่า และอีกไม่ถึงครึ่งนาที JAILHOUSE ROCK ก็จบท่อนสุดท้าย บรรยากาศในร้านสงบงันเงียบกริบ ขณะที่ตู้อัตโนมัติกำลังเลือกเพลงใหม่ วัยรุ่นเจ้าถิ่นต่างตั้งท่ารอ เพราะเห็นๆกันอยู่ว่าเด็กหนุ่มหน้าจืดในเครื่องแบบนักเรียน เพิ่งหยอดเหรียญต่อไปแหม็บๆ แต่พอเพลงขึ้น พระเดชพระคุณดาวเต้นทั้งหลายประดามีก็ต้องพากันชะงักค้าง เพราะที่กังวาลออกมาจากลำโพงคือ LOVE ME TENDER เสียงร้องของเอลวิสก็จริง แต่มันเป็นเพลงหวานอ้อยสร้อย ท่างทำนองเนิบนาบนุ่มละมุน ไร้กลิ่นอายของร็อคหรือทวิสต์โดยสิ้นเชิง แล้วจิ๊กโก๋จะเต้นได้ยังไง? ทั้งกลุ่มหันขวับมามองสามหนุ่มโดดร่มหนีเรียนด้วยสายตาขุ่นขวางเคียดแค้น และพร้อมที่จะเอาเรื่อง หนึ่งในจำนวนนั้น ซึ่งแต่งตัวไว้ผมเผ้าเลียนแบบเอลวิส แต่หน้าตากระเดียดไปทางเห้งเจียบวกกะตือโป๊ยก่าย แหวกพรรคพวกส่ายอาดๆออกมายืนหน้าแถว วางฟอร์มหัวโจกแค่นเสียงเกรียม
"กำลังดิ้นมันๆ ดันมาเปิดเพลงช้า แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ"
หล่อ สะพานขาว หันไปส่วยหน้า
"ไม่ได้แกล้ง ก็แค่สลับเพลงเปลี่ยนบรรยากาศมั่ง จะเป็นไรเล่า?"
"เป็นซีวะ ก็เรากำลังเต้น"
"ก็เต้นไปซีเราไม่ได้ว่าอะไรนี่"
"ไม่ว่า....แต่พวกนายเปลี่ยนเพลง"
"มันเป็นสิทธิ์ของคนหยอดเหรียญนะ ที่จะเลือกเพลงอะไรก็ได้ พอดีเราอยากฟังเพลงช้า"
จิกโก๋ขาใหญ่หรี่ตาหมิ่นๆ
"และก็หมั่นใส้.......งไม่อยากเห็นพวกเราดิ้นด้วย"
ไอ้รุ่นหน้าจืดโคลงศรีษะ
"นั่นเป็นเรื่องที่นายเข้าใจกันเอง"
"แล้วมันถูกมั้ยล่ะ?"
"เราไม่จำเป็นจะต้องตอบว่าถูกหรือผิด"
"อ้าว..."
"เอางี้ จบเพลงนี้เราจะไม่หยอดเหรียญต่อ เชิญพวกนายเลือกเพลงดิ้นกันตามสบาย"
หัวโจกวัยรุ่นตรอกวัดราชาพยักหน้า แล้ววางอำนาจเจ้าถิ่นยื่นคำขาด
"ได้ แต่พวกนายต้องออกไปจากร้านเดี๋ยวนี้ด้วย"
หล่อถึงกับร้อนวาบไปทั้งตัว หัวคิ้วกระตุกย่น
"ไม่มากไปหน่อยรึ?"
"น้อยไปด้วยซ้ำ..." หมอนั่นแสยะยิ้มหยามหยัน "....นี่ยังฐานกรุณา"
"อย่าพยายามรุกกันให้จนตรอกดีกว่า ขอร้อง เรามาเที่ยว ไม่ได้คิดจะมามีเรื่องกะใคร"
"แต่ถ้านายไม่ไปมีแน่"
เท่านั้นก็เกินพอที่จะอดกลั้นเสือร้ายหน้าจืดจากสะพานขาวทะลึ่งลุกพรวด ตาวาวจ้าขระกระแทกเสียงสวนอย่างไม่สะทกสะท้านพรั่นพรึง
"โอเค จะเอายังไงว่ามาเลย"
ทันทีที่หล่อ สะพานขาว ประกาศพร้อมรบศักดิ์ช่วงกับตี๋ มาเวอริค ก็เด้งตัวลุกขึ้นประกบข้างซ้ายขวาปักหลักเตรียมรับ
ไม่มีใครแสดงทีท่าว่าจะทิ้งเพื่อนเผ่นหนีเอาตัวรอด
หัวใจลูกผู้ชายขายไม่ได้ มีสุขร่วมเสพ มีศึกก็ต้องร่วมสู้ จะแพ้ชนะหรือถึงต้องคลานกลับไปนอนกินน้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน เอาไว้ว่ากันทีหลัง อหังการ์ของสามเกลอ เล่นเอาฝ่ายเจ้าถิ่นถึงกับเซ่อรับประทานไปทั้งเทือก เพราะพฤติกรรมที่กระทำกันจนเคยชิน ก็คือ การเอาพวกเข้าขู่ฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนน้อยกว่า
และก็ได้ผลทุกที แต่คราวนี้กลับผิดคาด ไอ้รุ่นแปลกถิ่นซึ่งมากันแค่สามหน่อไม่ยอมสยบ แถมยังตั้งท่าเตรียมรบ โดยยัดมือขวาไว้ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นทุกคนซึ่งที่อยู่ในนั้นอาจจะเป็นมีดสั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็สนับทองเหลือง ฝ่ายที่มีกำลังมากเลยชักลังเล นอกจากเสียงเพลง LOVE ME TENDER ที่กังวาลหวานละมุนอ้อยสร้อยออกมาจากลำโพงสเตริโอของตู้อัตโนมัติ ทั้งร้านสงบงันเงียบเชียบ
หลายคนเหมือนจะลืมหายใจ เงียบงันกันอยู่อีรูปนั้นร่วมครึ่งนาที จิ๊กโก๋ทรงเอลวิส ซึ่งวางท่าเป็นพี่เอื้อยถึงได้หรี่ตาลากเสียง
"พวกนายคงแน่ซีท่า........?"
เสือร้ายหน้าจืดในคราบลูกแกะไร้น้ำยาจากสะพานขาวยักไหล่นิดๆ
"ก็ไม่เท่าไหร่ เราไม่ถอยใครก็แล้วกัน"
"งั้นสวย........"
"อีสวยมีผัวไปแล้ว"
"อ๊ะ พูดแบบนี้มันก็แจ๋วซี"
"อีแจ๋วก็เพิ่งแต่งงานไป"
บทจะยวนเมื่อของขึ้นจนเห็นช้างเท่าลูกหนู หล่อ สะพานขาวก็เล่นลิ้นกวนเกือกได้ไม่เป็นรองใคร ซึ่งก็ทำเอาเอลวิสจากเขาเหลียงซานขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอดกราวด้วยความพลุ่งพล่านดาลเดือด ก่อนแค่นคำรามกระหึ่ม
"เออ ปากเก่งไปเถอะ นายได้เจอดีแน่"
"ก็เอาซี เราพร้อม"
"รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งเปิดหนีไปซะก่อนล่ะ" เอ่ยจบ หมอนั่นหมุนตัวผลุนผลันออกจากร้านหลุยส์ โดยมีพลพรรคทั้งโขยงก้าวตามเป็นพรวน ลับร่างวัยรุ่นะเจ้
ขอขอบคุณ เพจตำนานคดีดัง ,wikipedia,หนังสือ เดินอย่างปุ๊
โฆษณา