4 มี.ค. 2019 เวลา 01:42 • ประวัติศาสตร์
"นินจา" จาก "ฤาษีภูเขา" สู่สายลับของโชกุน
สู่วัฒนธรรมป็อปยอดฮิตจากญี่ปุ่น
.
เมื่อพูดถึง "นินจา" แล้วนึกถึงอะไรกันบ้างครับ ? ถ้าเป็นคนบ้านเราก็น่าจะนึกถึง นินจาฮาโตริ นินจาคาบูโตะ หรือกระทั่ง Naruto เรารู้จักนินจาจากเหล่าการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราดูมาตั้งแต่เล็ก (บางคนอาจดูมาจนโต) อย่างไรก็ดี เราเคยสงสัยมั้ยครับว่านินจานี่มีตัวตนจริง ๆ มั้ย? นินจาเริ่มมีมาได้อย่างไร ? แล้วในประวัติศาสตร์มันเหมือนกับที่เราเห็นในการ์ตูนมั้ย ? เรามาดูกันครับ
.
จริง ๆ ต้นกำเนิดของนินจาในสังคมญี่ปุ่นนี่ไม่ชัดเจน แต่ว่ากันว่ามันน่าจะเริ่มจากช่วงศตวรรษที่ 7 ที่ศาสนาพุทธเริ่มเข้ามาในญี่ปุ่น แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะผลักดันให้ศาสตาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแทนชินโต ซึ่งทางรัฐบาลไม่ยอม เกิดการสู้กันคนพวกนี้แพ้และต้องหนีไปหลบซ่อนในภูเขา
.
ซึ่งก็ต้องเข้าใจก่อนครับว่าประเทศญี่ปุ่นเนี่ย ภูมิประเทศมันเต็มไปด้วยภูเขา ห่างจากเมืองมาหน่อยก็เต็มไปด้วยภูเขาแล้ว คนที่หนีจากรัฐบาลที่ตั้งอยู่เกียวโตมาก็ไม่จำเป็นต้องหนีมาไกลเลยแค่หนีมาจังหวัดข้าง ๆ ก็พอเพราะสมัยนั้นมันไม่ได้เจริญและเต็มไปด้วยภูเขา
.
นี่เป็นเหตุให้แหล่งซ่องสุมที่ถือเป็นแหล่งกำเนิดนินจาคือจังหวัด Mie และ Shiga ซึ่งเป็นจังหวัดที่ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาซึ่งมันติดกับ Kyoto ในปัจจุบัน
.
ผู้คนเหล่านี้ในตอนแรกเขาไม่ได้เรียก “นินจา” แต่ทางรัฐบาลเรียกว่า “ฤาษีภูเขา” เพราะคนเหล่านี้ถูกมองว่ามีวิธีชีวิตที่ต่างจากคนปกติ มีการฝึกศาสตร์ลึกลับที่ทำให้มีพลังลี้ลับ ซึ่งทางรัฐบาลก็พยายามจะปราบพวกนี้หลายครั้งแต่จนแล้วจนรอดก็ปราบไม่ได้ พวกนี้ก็เลยสามารถดำรงอยู่ในภูเขาห่างไกลจากเมืองได้อีกหลายศตวรรษ และได้พัฒนาทักษะการหลบหนีจากการกวาดล้างของทางการ และการดำรงชีพในป่าจนกลายมาเป็น “วิชานินจา” ในเวลาต่อมา
.
เหล่านินจาพวกนี้จะกระจุกตัวกันอยู่ในแถบที่เรียกว่า Iga (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัด Mie) และ Koga (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัด Shiga) เป็นหลัก นี่เลยนำมาสู่การที่เราเรียกพวกนี้แยกว่า นินจาอิงะ และ นินจาโคงะ ที่เราเห็นในการ์ตูน
.
อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงในโซนเหล่านี้ มีตระกูลนินจาหลากหลายเป็นสิบ ๆ ตระกูล และแต่ละตระกูลก็มีวิชาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งสำหรับคนนอกวิชาพวกนี้ “ลึกลับ” ทั้งนั้น
.
เมื่อญี่ปุ่นย่างเข้าสู่สมัยที่เหล่าเจ้าครองนครแต่ละแคว้นต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองญี่ปุ่น (ในทางประวัติศาสตร์เรียกว่าสมัย Sengoku) พวกเจ้าครองนครก็เริ่มมองเห็นประโยชน์ของเหล่า “นินจา” ว่าพวกนี้สามารถจะถูกว่าจ้างมาเป็นสายลับหรือนักฆ่าได้ เพราะพวกนี้สามารถไปไหนมาไหนได้อย่าง “ไร้ร่องรอย” ยุคนั้นนอกจากการรบกันกระหน่ำแล้ว การจ้างนินจาเพื่อสืบความลับ ไปจนถึงการลอบสังหารบุคคลสำคัญก็เป็นเรื่องปกติมาก ๆ
.
ยุคนี้การโดนนินจาลอบสังหารนี่ก็เรียกว่าทุกคนโดนกันเป็นปกติมาก ๆ อย่างไรก็ดี เมื่อขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Oda Nobunaga โดนเข้าบ่อย ๆ เขาก็โกรธมาก ถึงกับยกทัพไปเพื่อล้างบางนินจาที่ Iga เลย และทำให้เหล่านินจาตายไปเพียบ ส่วนที่เหลือก็หนีหัวซุกหัวซุน
.
อย่างไรก็ดีหากใครพอรู้ประวัติศาสตร์ การรบราของญี่ปุ่นก็จบสิ้นลงในตอนที่ Tokugawa Ieyasu สามารถรวบอำนาจทั้งหมดเข้ามาที่ตัวเองได้ และย้ายรัฐบาลทหารมาที่ Edo (ปัจจุบันคือ Tokyo) ซึ่งทำให้ชาติญี่ปุ่นสงบจากสงครามไปอีกหลายร้อยปี
.
อย่างไรก็ดี อาจเป็นโชคดีของพวกนินจา ที่ Tokugawa Ieyasu ไม่ได้มองว่านินจาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอย่าง Nobunaga แต่ Ieyasu มองว่านินจาคือกลุ่มคนทีมีศักยภาพในการทำงานให้รัฐบาลอย่างที่คนอื่น ๆ ในสังคมไม่สามารถจะทำได้ เพราะคนพวกนี้มีทักษะที่พิเศษสุด ๆ Ieyasu เลยรวบรวมเหล่านินจาที่เหลือแหละให้โอกาสในการรับใช้รัฐบาล
.
ซึ่งก็ไม่ต้องอะไรมากครับ เพราะบอดี้การ์ดส่วนตัวของ Ieyasu ก็คือ Hattori Hanzo (ใช่แล้วครับ ต้นแบบของ “นินขาฮาโตริ” คือบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นนินจาที่มีชื่อเสียงจาก Iga นอกจากนั้นแล้วก็ว่ากันว่า Ieyasu นั้นใช้นินจาในการอารักขาปราสาทอย่างเต็มที่ โดยให้นินจากจาก Iga ปลอมตัวเป็นคนสวนเพื่อดูแลความเรียบร้อยในประสาทชั้นใน ส่วนนินจาจาก Koga ก็ให้ทำหน้าที่เป็นตำรวจดูแลส่วนปราสาทชั้นนอก
.
เรียกได้ว่า Tokugawa Ieyasu เป็นคนที่อุปถัมภ์นินจาอย่างแท้จริง โดยการเอานินจามาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่รัฐ (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงต้องเรียก “เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง”) และทำให้นินจาเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติขึ้นมาก ๆ จากสมัยก่อนเยอะ เพราะสมัยก่อนนินจาถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอกที่ไร้เกียรติ และคนที่จะเหยียดหยามนินจามาก ๆ ก็คือพวกซามูไร
.
ในช่วง Edo ที่นินจาสามารถเริ่มเปิดเผยตัวได้มากขึ้น มันก็เลยเกิดการเขียนตำราวิชานินจามา 3 เล่ม ในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงต้นของยุคเอโดะ ซึ่งตำราสามเล่มดังกล่าวก็คือ Ninpiden (อีกชื่อคือ Shinobi Hiden), Bansenshukai และ Shoninki โดยทุกเล่มภายหลังก็ได้รับการตีพิมพ์ขายแพร่หลาย และถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษหมดแล้วทุกเล่ม
.
...ซึ่ง 3 เล่มนี้แหละครับที่ตีแผ่โลกของนินจาให้คนในวงกว้างได้รู้ เพราะเมื่อก่อน โลกของนินจานี่ถือว่าลึกลับสุด ๆ และคนญี่ปุ่นเองก็มองว่าพวกนี้เป็นนักฆ่าจากเงามืด ผู้ใช้วิชาเร้นลับเหนือธรรมชาติ และมีตำนานต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับนินจา ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง
.
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ญี่ปุ่นทำการปฏิรูปประเทศให้เป็นสมัยใหม่ในสมัยจักรพรรดิ์ Meiji ราวกลางศตวรรษที่ 19 เหล่านินจา ซามูไร ฯลฯ ของสังคมเก่าก็ถูกยกเลิกไปหมด และมันก็ถึงยุคเสื่อมของนินจาอีกครั้ง และก็เรียกได้ว่าแม้ว่าจะมีคนพยายามสืบทอดวิชาต่อมาในยุคที่รัฐบาลไม่ต้องการนินจาอีกแล้ว และพอมาถึงต้นศตวรรษที่ 20 ก็เรียกได้ว่าไม่มี “นินจาจริง ๆ” ที่ฝึกวิชากันมาแบบเก่าอย่างไม่ขาดช่วงหลงเหลืออีกแล้ว
.
...อย่างไรก็ดี แทนที่นินจาจะเป็นนักฆ่าผู้ลึกลับแห่งเงามืดที่หายไปจากโลก ตั้งแต่หลังช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนญี่ปุ่นเองก็เอาเรื่องราวของนินจาไปจนถึงตัวละครของนินจามาใส่ในป็อปคัลเจอร์สารพัด ทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ ไปจนถึงเกม ที่ทำให้ “นินจา” ไม่ได้หายไปไหน แต่กลับมาเกิดใหม่ในป็อปคัลเจอร์
.
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ เพราะถ้าญี่ปุ่นไม่ทำแบบนี้ โลกก็ไม่มีทางรู้จัก “นินจา” แน่ๆ ซึ่งลองเทียบกับประเทศอื่น มันก็คงไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นแน่ๆ ที่จะมีกลุ่มนักรบหรือกลุ่มนักฆ่าลึกลับที่คนเชื่อว่ามีพลังอันเร้นลับจากยุคโบราณ แต่ญี่ปุ่นน่าจะเป็นประเทศเดียวที่แปลงให้กลุ่มคนที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์นี้ กลายมาเป็นป็อปคัลเจอร์ที่ขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
.ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก : LOCALRY
โฆษณา