6 มี.ค. 2019 เวลา 01:00
รู้หรือไม่ว่า
เจาะเลือดแล้ว สามารถตรวจอะไรได้บ้าง?
1. เลือดที่เจาะใส่ในtubeสีเขียว(Heparin)
จะเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ซึ่งประกอบด้วยการทดสอบทางเคมีที่หลากหลายมาก เช่น ตรวจวัดระดับน้ำตาล, ไขมัน(ไตรกลีเซอไรด์, LDL, HDL, Cholesterol), กรดยูริกแอซิดหรือเก๊าท์, ค่าตับ(AST, ALT, ALP), ค่าไต(BUN, Cr), โปรตีน, เกลือแร่ในร่างกาย เป็นต้น
Heparin tube
2. เลือดที่เจาะใส่ในtubeสีม่วง(EDTA)
ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เพื่อดูจำนวนของเม็ดเลือด รูปร่างลักษณะของเม็ดเลือด เพื่อการวินิจฉัยโรค, ตรวจกรุ๊ปเลือด, น้ำตาลสะสมในเลือด, อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง เป็นต้น
EDTA Tube
3.เลือดที่เจาะใส่tubeสีแดง
เลือดที่ได้จะแข็งตัวเป็นก้อนลิ่มเลือดซึ่งตรงนี้ทางห้องปฏิบัติการจะไม่นำมาตรวจ แต่จะใช้ส่วนของเซรั่มมาตรวจนั้นเอง เพื่อตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยา เช่น เชื้อก่อโรค, เคมีคลินิก, มะเร็ง ,การทำงานของต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
clot blood tube
4.เลือดที่เจาะใส่tubeสีเทา (NaF)
ใช้ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
NaF tube
5.เลือดที่เจาะใส่tubeสีฟ้า (sodium citrate tube)
จะตรวจเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด คือ PT,APTT เพื่อดูว่าปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดผิดปกติหรือไม่
Sodium citrate tube
เนื่องจากสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่ต่างกัน จะส่งผลต่อการทดสอบแตกต่างกันออกไปในบางการทดสอบ ดังนั้นจึงต้องเจาะเลือดใส่ในtubeที่เหมาะสม จึงจะได้ผลการทดสอบที่ถูกต้องที่สุด
ฝากติดตามเพจ กดไลค์ เพื่อเป็นกำลังใจในการนำเสนอข้อมูลดีและเป็นประโยชน์ให้ด้วยนะคะ ❤️❤️❤️
#หมอแล็บเล่าเรื่อง
โฆษณา