6 มี.ค. 2019 เวลา 08:47 • กีฬา
ภาระของกัปตัน by หัวหงส์ (Liverpool Head)
ถือว่าเป็นแรงกดดันมหาศาลอย่างที่สุด ที่จะมีใครสักคนมารับหน้าที่กัปตันของทัพ “พญาหงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่รับไม้ต่อจาก สุดยอดกัปตันของลิเวอร์พูล “สตีเว่น เจอร์รารด์” ชายผู้เป็นสัญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นผู้นำในสนาม เป็นไอค่อนของสโมสรลิเวอร์พูลที่ได้อำลาทีมไป
คงปฏิเสธไม่ได้หรอกนะครับว่า ลิเวอร์พูลอยากมี “สตีเว่น เจอร์รารด์” อยู่กับทีมในทุกฤดูกาล แต่กาลเวลาเปลี่ยนไปอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนตาม ถึงแม้ไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะหาคนมาแทนเจอร์รารด์
การหากัปตันทีมคนใหม่ของสโมสร แล้วคนที่ได้รับตำแหน่งนี้ไปเป็นนักเตะที่หลายๆคนคาดไว้ว่าคนนี้แหละ นั้นคือ “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” โดยตัวของ เฮนโด้ ในตอนนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างไม่มีข้อกังขา ทั้งฟอร์มการเล่นที่เป็นหนึ่งในคีย์แมนที่ขาดเขาไปส่งผลในแดนกลางของลิเวอร์พูลชุดปี 2013 - 2014 อย่างชัดเจนเนื่องจาก เจ้าตัวเล่นในสไตล์ Box-To-Box คนเป็นตัวไล่บอลก่อนถึงกองหลัง คอยทำลายจังหวะเกมบุกของฝั่งตรงข้าม เป็นลูกหาบของเจอร์รารด์ในแดนกลาง แถมบางทีมีลูกยิง มหัศจรรย์ ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
แต่หลังจากได้รับปลอกแขนกัปตันทีมจาก เจอร์รารด์ มาฟอร์มการเล่นของ เฮนเดอร์สัน ถึงแม้จะไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ไม่ได้เด่นเท่ากับฟอร์มก่อนหน้า ทำให้มีเสียงวิจารณ์ เสียงด่า จากบรรดาแฟนบอล นักวิจารณ์ ตำนานทีมต่างๆ ว่าเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้
ไม่ว่าจะสไตล์การเล่นแบบ ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่มีลูกเสี่ยงอันตราย หรือจังหวะที่ทีมต้องการประตู เขาเลือกที่จะแปะบอลออกข้าง หรือไม่ก็คืนหลังเพื่อความ “ชัวร์” ก็ไม่แน่ใจว่าจะเพราะสไตล์การเล่นของ เจ้าตัวหรือว่า เล่นตามใบสั่งของ “เยอร์เก้น คล็อปป์” ที่เปลี่ยนเฮนเดอร์สันกลายเป็นอีกคน ภายในเวลาไม่กี่ปี
แต่แล้ว เมื่อช่วงมกราคม 2017 ลิเวอร์พูลได้ปราการหลังสถิติโลก 75 ล้านปอนด์ เข้ามาร่วมทีมนั้นคือ “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” ผู้เข้ามาพลิกโฉมเกมรับของทีม ฟอร์มของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์คเข้าขั้นไร้ที่ติ เขาบัญชาการเกมรับของทีมทั่งซ้าย และขวาอย่างอยู่หมัด คอยสั่งการเพื่อนตลอดเวลา จนตอนนี้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ “เสียประตูน้อยที่สุด” ตั้งแต่ฟาน ไดรจ์มาร่วมทีม
ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้เปลี่ยนกัปตันทีมจาก เฮนเดอร์สัน มาเป็น ฟานไดร์จ แทนเนื่องจากผลงานในสนามที่สุดยอด บวกกับฟานไดร์จ เองก็เป็นถึง “กัปตันทีมชาติเนเธอแลนด์” อีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเปลี่ยนกัปตันทีมกลางคัน เพราะทีมจะต้องเจอปัญหาภายในแน่ๆ ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันต่อเฮนเดอร์สันอีกทางนึง
แต่แล้วฟอร์มสไตล์ของ เฮนเดอร์สันก็เปลี่ยนไปในเกมที่เจอกับ วูล์แฮมตันกับนิวคาสเซิ่ล ที่เขาได้ลงเล่นในระบบ
4-2-3-1 เขากล้าเล่นมากขึ้น ลากตะลุย พาบอลขึ้นหน้าเล่นในแบบของมิดฟิลด์ที่มีจินตนาการในการทำเกมรุกสูง ภาพสมัยปี 2013-2014 ลอยมาลางๆ โดยก่อนหน้านี้เขาเล่นในระบบ 4-3-3 ซึ่งตัวเขาเล่นเป็นตำแหน่งสุดท้ายในแผงกองกลาง ซึ่งถ้าผิดพลาดมาคนที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆนั้นคือเขานั้นเอง นี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขาเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน แต่ใน 4-2-3-1 เขามีฟาบินโญ่ ที่เป็นกองกลางที่ทำเกมจากแนวลึกได้ดี ซึ่งหน้าที่ของฟาบินโญ่นั้นคล้ายๆกับ เจอร์รารด์ หรืออังเดร ปีร์โล่ที่ ทำให้เฮนเดอร์สัน มีอิสระในการเล่นมากขึ้น
แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เราก็ได้เห็นแล้วว่า เฮนเดอร์สัน ไม่ได้สูญเสียวิธีการเล่นของตัวเขาเองไป เขายังคงเล่นในแบบของเขาได้อย่างดี ถึงแม้หน้าที่ ที่เขาได้รับจะขัดกับธรรมชาติของตัวเองก็ตามส่วนเรื่อง หัวจิตหัวใจของเฮนเดอร์สัน เชื่อเหลือเกินว่าเขาไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้วเพราะจากการที่ตัวเขาเกือบจะได้เป็นตัวแถมในการแลกนักเตะอื่น เขากลับบอกกับผู้จัดการทีมว่า เขาต้องการที่จะอยู่สู้ต่อไป หรือการที่จะต้องแบกรับตำแหน่งกัปตันทีมต่อจากสัญลักษณ์ของทีม ตำแหน่งที่หนักอึ้งนั้นก็พิสูจน์ได้มากพอแล้วกับหัวใจของชายที่ชื่อ “จอร์แดน เฮนเดอสัน”
โฆษณา