10 มี.ค. 2019 เวลา 02:40 • ธุรกิจ
ใครเป็นเจ้าของการสอบ TOEIC, TOEFL, IELTS / โดย ลงทุนแมน
บนโลกนี้มีผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ 378 ล้านคน เป็นอันดับ 3 ของโลก
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาษาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ก็คือภาษาอังกฤษ..
เพราะองค์ความรู้ในแทบทุกศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์ การลงทุน
ล้วนมีที่มาจากภาษาอังกฤษ
ถ้าหากใครสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ก็จะเป็นข้อได้เปรียบ
ดังนั้น หากเราต้องการสมัครเข้าทำงานในบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
หรือต้องการศึกษาต่อต่างประเทศ
สิ่งสำคัญที่เราต้องมีคือ
ผลสอบที่ “ยืนยันได้” ว่าเรามีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ซึ่งจะได้มาจาก การทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่มีมาตรฐานระดับโลก อันประกอบไปด้วย
TOEIC (โทอิก)
TOEFL (โทเฟิล)
IELTS (ไอเอลส์)
3
การทดสอบทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร
แล้วใครเป็นเจ้าของการจัดสอบเหล่านี้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
การสอบ TOEIC (โทอิก)
ย่อมาจาก Test of English for International Communication
เป็นการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ต้องการสมัครเข้าทำงานในบริษัทชั้นนำ
โดยการทดสอบจะเน้นการฟังและการอ่านเป็นหลัก
มีข้อสอบปรนัย แบ่งเป็น การฟัง 100 ข้อ 495 คะแนน และการอ่าน 100 ข้อ 495 คะแนน
รวมจำนวนข้อสอบทั้งสิ้น 200 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน
2
คะแนนที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการรับเข้าทำงานของแต่ละบริษัท
ตำแหน่ง วิศวกรเครือข่าย ของบริษัท ปตท. จะต้องมีคะแนน TOEIC ขั้นต่ำ 550 คะแนน
ตำแหน่ง วิศวกรเคมี ของบริษัท SCG จะต้องมีคะแนน TOEIC ขั้นต่ำ 550 คะแนน
ตำแหน่ง แอร์โฮสเตส ของสายการบิน Japan Airlines (JAL) จะต้องมีคะแนน TOEIC ขั้นต่ำ 650 คะแนน
สำหรับประเทศไทย
การสอบ TOEIC แต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมการสอบ 1,500 บาท
เจ้าของการจัดสอบ TOEIC คือ Educational Testing Service (ETS) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Princeton รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
ปี 2016 มีการสอบ TOEIC ทั่วโลก 5.2 ล้านครั้ง รายได้ 7,800 ล้านบาท
ปี 2017 มีการสอบ TOEIC ทั่วโลก 5.0 ล้านครั้ง รายได้ 7,500 ล้านบาท
การสอบ TOEFL (โทเฟิล)
ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language
เป็นแบบทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ
โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน
แต่ละส่วนจะมีคะแนนให้ 30 คะแนนรวมทั้งหมดเป็น 120 คะแนน
ซึ่ง TOEFL ใช้สำหรับศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่หลายสถาบันในยุโรป ก็ยอมรับผลการทดสอบนี้
คะแนนที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ ในการรับเข้าศึกษาต่อ ของแต่ละสถาบัน
Massachusetts Institute of Technology (MIT) ต้องมีคะแนน TOEFL ขั้นต่ำ 90 - 100 คะแนน (ขึ้นอยู่กับคณะ)
Stanford University ต้องมีคะแนน TOEFL ขั้นต่ำ 100 คะแนน
Harvard University ต้องมีคะแนน TOEFL ขั้นต่ำ 100 คะแนน
การสอบ TOEFL แต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมการสอบประมาณ 6,000 บาท (185 ดอลลาร์สหรัฐ)
เจ้าของการจัดสอบ TOEFL คือ องค์กร Educational Testing Service (ETS)
ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับการสอบ TOEIC
และการจัดทดสอบวัดผลทางวิชาการด้านอื่นของสหรัฐอเมริกา เช่น GRE (Graduate Record Examinations)
ปี 2016 องค์กร ETS มีรายได้จากการจัดสอบทั้งหมด 38,000 ล้านบาท
ปี 2017 องค์กร ETS มีรายได้จากการจัดสอบทั้งหมด 43,000 ล้านบาท
การสอบ IELTS (ไอเอลส์)
ย่อมาจาก International English Language Testing System
เป็นการวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อในประเทศฝั่งยุโรปและออสเตรเลีย (Academic) หรือฝึกอบรม เข้าทำงานในภาคธุรกิจต่างๆ ของประเทศเหล่านี้ (General Training)
โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะเช่นเดียวกับ TOEFL ได้แก่ การฟัง พูด อ่าน เขียน
จากนั้นจึงนำมาวัดระดับความสามารถทางภาษาซึ่งมีทั้งหมด 9 ระดับ
ระดับ 1 คือไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เลย
และระดับ 9 คือความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับผู้เชี่ยวชาญ
คะแนนที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ ในการเข้ารับการศึกษาในแต่ละสถาบัน
University of Oxford ต้องมีคะแนน IELTS Overall ขั้นต่ำ 7.0
University of Cambridge ต้องมีคะแนน IELTS Overall ขั้นต่ำ 7.0
University of Melbourne ต้องมีคะแนน IELTS Overall ขั้นต่ำ 6.5
สำหรับประเทศไทย
การสอบ IELTS แต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมการสอบประมาณ 6,900 บาท
(เฉพาะการสอบแบบ Academic และ General Training)
การจัดสอบ IELTS มีเจ้าของร่วมกัน คือ IDP Education มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ออสเตรเลีย,
British Council และ University of Cambridge English Language Assessment มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ
 
ปี 2016 มีการสอบ IELTS ทั่วโลก 8.6 แสนครั้ง รายได้ 7,400 ล้านบาท กำไร 3,000 ล้านบาท
ปี 2017 มีการสอบ IELTS ทั่วโลก 9.1 แสนครั้ง รายได้ 7,800 ล้านบาท กำไร 3,300 ล้านบาท
สถาบันจัดทดสอบเหล่านี้ มีรายได้มหาศาลในแต่ละปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แสดงให้เห็นว่า ภาษาอังกฤษยังคงมีความสำคัญ และเป็นภาษากลางที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ การรู้ภาษาอังกฤษจึงเปรียบเสมือนการรู้ทันโลก
สำหรับประเทศไทย ถึงแม้เราจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และไม่เคยเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของเราไม่น้อย ทั้งภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การลงทุน ไปจนถึงการเติบโตของบริษัทสตาร์ตอัป
อนาคตของเราจะไปได้ไกลแค่ไหน? ถ้าเราสื่อสารได้เพียงภาษาเดียว
จะดีกว่าไหม? ถ้าเราสามารถเป็นบุคคลที่สื่อสารกับคนทั้งโลกได้..
ปิดท้ายด้วยคำคมที่ Frank Smith นักภาษาศาสตร์จิตวิทยาชาวอังกฤษ-อเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า
“One language sets you in a corridor for life. Two languages open every door along the way.”
2
เพราะลงทุนแมนอยากให้คนไทยได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษ
คำคมนี้จึงไม่มีคำแปล..
1
อ่านเรื่อง มหากาพย์ การศึกษาไทย เพิ่มเติมได้ที่
ติดตามเรื่องหลากหลาย จากผู้เขียนเก่งๆ หลายท่าน ในแอป blockdit โหลดได้ที่ http://www.blockdit.com
สั่งซื้อหนังสือลงทุนแมน 9.0 ได้ที่
Lazada กดรับ voucher ลด 20% (มีจำนวนจำกัด): https://www.lazada.co.th/products/90-i293980783-s493954943.html
โฆษณา