10 พ.ค. 2019 เวลา 02:49 • การศึกษา
พลร่ม หรือ Paratroopers มีหลักการในการรบโดยอาศัยการขนส่งทางอากาศและลงสู่พื้นด้วยร่ม การปฏิบัติการของพลร่มจะเป็นการปฏิบัติในพื้นที่ ที่ข้าศึกยึดครองอยู่ ซึ่งเป็นการรบโดยที่มีข้าศึกล้อมกรอบอยู่รอบที่ทิศทาง
‘Fallschirmjagers’ ซึ่งหมายถึงพลร่ม ในภาษาเยอรมัน ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2มีอาวุธประจำการคือ ปืนเล็กยาวแบบ Kar.98k, ปืนกลมือแบบMP-38 และ MP-40 ปืนกลเอนกประสงค์แบบ MG.34 ,ปืนพกแบบ P08 และ ปืนพกแบบ P38
ปี1941 German Air Force (Luftwaffe) ได้ร้องผ่าน Reichsluftfahrtministerium หรือ Reich’s Air Ministry /(RLM) โดยมีแนวคิดว่าพลร่มต้องปฏิบัติการห่างไกลแนวรบตนเองและมีความเสี่ยงต่อความอยู่รอดค่อนข้างสูง จึงได้มีการเสนอระบบอาวุธที่มีการรวมปืนเล็กยาว,ปืนกลและปืนกลมือเข้าด้วยกัน เพื่อลดการจำนวนแบบของอาวุธที่ส่งเข้าสู่แนวรบ เพื่อสะดวกในการขนส่ง
RLM ได้พยายามพัฒนาระบบอาวุธตามแนวคือในเบื้องต้น โดยมอบหมายงานให้ Heereswaffenamt (HWaA,หรือ Army Ordnance Department/กรมสรรพาวุธทหารบก )ซึ่งมีหน้าที่ออกแบบ แต่สิ่งที่น่าตลกที่สุดคือ HWaA ไม่ได้มีความสนใจแนวคิดระบบอาวุธแบบใหม่นี้ แต่ได้เสนอปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ G 41(W) กลับไปแทน ซึ่งทำให้ระบบอาวุธแบบใหม่นี้ไปสู่การออกแบบอิสระแทน
Erprobungstelle coastal testing station ที่ Tarnewitz มีทีมวิศวกรที่ชำนาญในการออกแบบระบบอาวุธเบา ซึ่งได้มีการนำปืนที่มีพื้นฐานของปืนกลแบบ MG 15 มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบ แต่ท่านผู้นำซึ่งไม่ได้ปลื้มต่อระบบอาวุธแบบนี้อยู่แล้ว แนวคิดจึงถูกยกเลิกไป แต่อย่างไรก็ดีทาง Luftwaffe Reichsmarschall โดย Hermann Göring ยังคงสานโครงการต่ออย่างไม่ลดละ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันก็คือ โครงการ MKb 42(H) และ MKb 42(W) ซึ่งก็ต้องมีการดำเนินโครงการกันแบบเงียบๆเช่นกัน
ธันวาคม ปี 1941 RLM ได้ออกคุณลักษณะเฉพาะไปยั้ง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมของเยอรมัน โดยใช้ชื่อคุณลักษณะเฉพาะของระบบอาวุธนี้ว่า LC-6 โดย
-อาวุธจะต้องมีความยาวไม่เกิน 1000 มม.หรือ 1เมตร
-ไม่ควรหนักกว่าปืนเล็กยาวแบบ Kar 98k rifle
-ปืนต้องยิงในระบบอัตโนมัติ ด้วยการยิงจากสถานะลูกเลื่อนเปิด – Fully automatic fire from an open bolt
-ปืนต้องยิงในระบบกึ่งอัตโนมัติ ด้วยการยิงจากสถานะลูกเลื่อนปิด -Single shots from a closed bolt
-ปืนใช้ซองกระสุนแบบกล่องที่บรรจุ 10-20 นัด ที่สามารถถอดได้
– สามารถยิงลูกระเบิดยิงจากปากลำกล้องได้ Fire rifle grenades.
ในตอนแรกได้มีการแนะนำกระสุนขนาด 7.92×33mm Kurz ที่พัฒนาโดย HWaA ซึ่งใช้ในโครงการ MKb 42(H) และ MKb 42(W) แต่ก็มีการเสนอเกี่ยวกับอำนาจการยิงที่จะต้องมีใช้การยิงสนับสนุนระยะไกลจึงมีการกำหนดใช้กระสุน 7.92×57mm Mauser rifle เป็นหลักในการออกแบบ
มีผู้ผลิต 6รายเสนอต้นแบบได้แก่
-Gustloff-Werke
-Mauser
-Johannes Großfuß Metall- und -Lackierwarenfabrik,
-C.G. Hänel
-Rheinmetall-Borsig
-Heinrich Krieghoff Waffenfabrik
พลร่ม พก P08 ติดตัวตลอด
ซึ่งก็ได้มีการเสนอต้นแบบหลายตัวแต่ก็ไม่ผ่านคุณลักษณะ ในข้างต้น Mauser ได้เสนอต้นแบบ คือ MG 81 แต่ก็ไม่ผ่านเนื่องจากน้ำหนักของปืนที่หนักเกินไป Krieghoff ได้เสนอสัญญาต้นแบบ Rising-block แต่ก็มีปัญหาในด้านขีปนวิถี
Rheinmetall-Borsig ได้เสนอต้นแบบที่ออกแบบโดย Louis Stange (จาก Sömmerda ) เสนอด้วยสัญญาเลขที่ GL/C E-6 ไปทดสอบที่ Tarnewitz ช่วงกลางปี 1942 ต้นแบบรุ่นแรกรู้จักภายใต้ชื่อ Gerät 450 (“device 450”) หรือ Ausführung “A” (“type A”) โดยโครงปืนเป็นโลหะแผ่นปั้มขึ้นรูป และ ประกับรองลำกล้องแบบลอนลูกฟูก(corrugated) โดยระบบปฏิบัติการของปืนมีพื้นฐานมาจากปืนกลเบา Lewis light machine gun ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่1 โดยใช้ระบบแท่งบังคับการหมุนขอลูกเลื่อนในการขัด/ปลดกลอน ด้วยร่องลูกเบี้ยวบริหารกลไกด้วยแก๊ส ( Gas-operated turning bolt action geared spiral (clock-type) recoil spring) ซึ่งแท่งบังคับนี้จะมีหน้าที่ในการควบคุมเข็มแทงชนวนด้วย ต้นแบบ Ausführung “A”/ type “A” ยังไม่ได้รับการผลิตแต่ก็ได้รับการพัฒนาต่อ LC-6 หรือ Ausführung “B” ซึ่งได้รับการแก้ใขข้อบกพร่อง เช่นประกับรองลำกล้องจากเดิมที่ใช้โลหะแผ่นเปลี่ยนเป็น Resin-impregnated fiber type ซึ่งป้องกันความร้อนและทนทานต่อสภาพแวดล้อม
เมื่อทำการทดสอบกับสนามจริงก็มีข้อบกพร่อง และได้รับการแก้ใขในรุ่น LC-6/II และส่งไปทดสอบกับ HWaA และแก้ใขจนได้รับการรับรองซึ่ง ต้นแบบ LC-6/III ก็ได้บรรจุเป็น : Fallschirmjägergewehr 42, “paratrooper rifle 42” หรือ FG-42 ซึ่งในขั้นต้นถูกผลิตโดย Rheinmetall-Borsig จำนวน 50 กระบอก เพื่อการประเมินผลในสนามจนสิ้นสุดปี 1942 ภายใต้สัญญา GL/C E-6 ซึ่งทั้ง50กระบอกต่างจากต้นแบบ คือ พานท้ายใช้เหล็กแผ่นเรียบ และ มีปลอกลดการสะบัด Muzzle brake.แต่หลังจากทดสอบไปได้ 2100 นัด ก็พบปัญหาในการยิงลูกระเบิดจากปลายลำกล้อง และ ความเสียหายที่พานท้าย ซึ่งทำให้ผู้ทดสอบบาดเจ็บ ซึ่งก็มีการปรับปรุงกันอีก
จนเมื่อมาถึงการผลิตจำนวนมากเพื่อใช้งานในกองทัพ ซึ่งเดิมที Rheinmetall-Borsig เป็นผู้ผลิตใช้เหล็ก Chrome-nickel steel heavily ซึ่ง วัสดุมีราคาต้นทุนสูง จึงได้เปลี่ยนไปใช้เหล็กแบบ Manganese steel
ในขั้นต้น Luftwaffe ได้มีคำสั่งผลิตจำนวน 3000 กระบอก ซึ่งสัญญาจ้างได้ตกเป็นของ Heinrich Krieghoff company ที่ Suhl เพื่อการผลิตจำนวนมากเพราะสายการผลิตของ Rheinmetall-Borsig นั้นไม่รองรับการผลิตปืนรุ่นนี้
ตลอดสายการผลิต FG 42 มีการปรับปรุงอยู่ตลอดจนสิ้นสุดสายการผลิต ซึ่งตามจริงแล้วไม่มีการระบุชื่อรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีการจำแนกในภายหลังโดยใช้ เลขโรมัน เช่น “Model I”, “Model II”
ปืนบริหารกลไกด้วยแก๊สลูกสูบช่วงยาว long stroke gas piston ลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอนด้วยปีกขัดกลอนคู่ Rotating bolt with two lugs ควบคุมจังหวะการหมุนและลั่นไกด้วยร่องลูกเบี้ยว Spiral (clock-type)
ระบายความร้อนด้วยอากาศ air-cooled,
ระบบการลั่นไกแบบ Selective fire weapon. โดยมีสองแบบซึ่งใช้บ่าเซียร์ 2ตำแหน่ง ที่อยู่บนก้านลูกสูบ
-ระบบอัตโนมัติ ด้วยการยิงจากสถานะลูกเลื่อนเปิด จะใช้บ่าเซียร์ตัวหน้า
-ระบบกึ่งอัตโนมัติ ด้วยการยิงจากสถานะลูกเลื่อนปิด จะใช้บ่าเซียร์ตัวหลัง ซึ่งจะค้างจังหวะลั่นไกเอาไว้โดยที่ ลูกเลื่อนจะขัดกลอนแล้ว
ซองกระสุนบรรจุด้านข้างทางซ้ายของโครงปืน โดยอยู่เหนือด้ามปืนพอดี และเมื่อกระสุนหมดจะมีกลไกค้างลูกเลื่อน และ ค้างไว้ในตำแหน่งยิงแบบลูกเลื่อนเปิด ถ้าอยู่ในตำแหน่งยิงกึ่งอัตโนมัติ การเหนี่ยวไกครั้งแรกจะเป็นการปิดกลอน การเหนี่ยวไกครั้งที่2 จะเป็นการลั่นไก
ปืนมีขาทรายแบบพับได้ และหอกปลายปืนที่เก็บไว้ใต้ลำกล้อง
นอกจากปืนจะมีแหนบสปริงหลักแล้ว ที่ด้านท้ายของงแกนแหนบสรปิงจะมีแหนบอีก1ชุดทำหน้าที่เป็นตัวซับแรงรีคอล์ยของลูกเลื่อนและก้านสูบ
โดยหลักๆที่คือ
FG 42 first pattern (Model I ) (early model) ซึ่งสังเกตจาก ด้ามปืนที่มีมุมเอียงมาก พอๆกับด้ามปืนแบบไฟเฟิล พานท้ายใช้โลหะแผ่นพับขึ้นรูปเป็นวัสดุ(คล้ายแบบ MG 34 ) โคนจุดหมุนของขาทรายอยู่ด้านหน้าของประกับรองลำกล้องปืน สามารถติดตั้งกล้องเล็งแบบ Zeiss ZF4 scope
FG 42 second pattern ( Model II ) (late model) ด้ามปืนแบบ Pistol grip จะใช้พานท้ายปืนทำจากไม้ และ ตำแหน่งโคนจุดหมุนขาทรายจะอยู่กับ ปลอกกันสะบัดด้านหน้า สามรถติดตั้งกล้องเล็งแบบ ZFG42 scope
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐสามารถยึด FG 42 และนำกลับมาวิจัยที่ สปริงฟิลล์ มันได้กลายเป็นต้นแบบ T44 ซึ่นำตัวพื้นฐานของ FG-42 มาผสมกับระบบป้อนกระสุนของ MG 42 และมีการพัฒนาโดยนำระบบแก๊สแบบ M1 Carbine มาใช้งานในต้นแบบ T52/ T52E1 แล้วพัฒนา T65 จนกลายเป็นปืนกลเอนกประสงค์ แบบ M60
ปัจจุบันยังมี บ. HZA Kulmbach GmbH ที่ทำการผลิตจำหน่ายในตลาดพลเรือนคือ BD-42/I (สำเนา early model) และ BD-42/II ( สำเนา late model). และมีสำนักแต่ง IWA บิ้วในรูปแบบของแทคติคอล
หากมีข้อผิดพลาดประการใดๆก็ข้ออภัยมา ณ. ที่นี้ครับ และขอบคุณที่ติดตาม
โฆษณา