Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สาระหลากด้าน ✅
•
ติดตาม
15 มี.ค. 2019 เวลา 02:37 • ประวัติศาสตร์
เปิดประวัติ "จอมมารฟ้าที่หก" แห่งยุคเซ็นโกกุในญี่ปุ่น "โอดะ โนบุนางะ" มีชื่อว่า คิปโปชิ เป็นบุตรชายคนที่สองของ โอดะ โนบุฮิเดะ ไดเมียวแห่งแคว้นโอะวะริ จังหวัดไอจิในปัจจุบัน เป็นบุตรคนโตสุดที่เกิดกับภรรยาเอกของโนะบุฮิเดะ คือ นางโดะตะ-โงเซ็ง
2
วัยเยาว์และการสืบทอดแคว้นโอวาริ
ในฐานะที่เป็นบุตรคนโตสุดที่เกิดกับภรรยาเอก ทำให้คิปโปชิเป็นอันดับหนึ่งในการสืบทอดแคว้นโอะวะริต่อจากโนะบุฮิเดะบิดาของตน ซึ่งได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาคนสนิทของตนคือ ฮิระเตะ มะซะฮิเดะ (平手政秀) เป็นอาจารย์คอยฝึกวิชาความรู้ให้แก่คิปโปชิ แต่ว่าคิปโปชิกลับมีพฤติกรรมที่ประหลาด เอาแต่ใจตนเอง และไม่อยู่ในกรอบประเพณี ทำให้เป็นที่ไม่พอใจของบรรดาซะมุไรหรือข้ารับใช้ของตระกูลโอะดะ รวมทั้งมารดาของคิปโปชิเอง จนทำให้คิปโปชิมีชื่อกระฉ่อนไปทั่วภูมิภาคคันไซว่า "เจ้าโง่แห่งแคว้นโอะวะริ" (尾張の大うつけ) แต่ด้วยการสนับสนุนของบิดาและมะซะฮิเดะผู้เป็นอาจารย์ ทำให้คิปโปชิยังคงสถานะเป็นทายาทของตระกูลโอะดะอยู่ได้
ในเวลานั้นตระกูลโอะดะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากแคว้นข้างเคียงที่ทรงกำลังอำนาจ อันได้แก่ ตระกูลอิมะงะวะ ผู้ปกครองสามแคว้นทางตะวันออกของโอะวะริ (ในบริเวณจังหวัดชิซุโอะกะในปัจจุบัน) และตระกูลไซโต (斎藤) ผู้ปกครองแคว้นมิโนะ (美濃 จังหวัดกิฟุในปัจจุบัน) ทางตอนเหนือ ในค.ศ. 1546 เมื่ออายุสิบสองปี คิปโปะชิผ่านพิธีเง็มปุกุได้รับชื่อว่า โอะดะ โนะบุนะงะ โนะบุฮิเดะบิดาร่วมกับมะซะฮิเดะผูกสัมพันธ์กับตระกูลไซโตแห่งแคว้นมิโนะ โดยการส่งมะซะฮิเดะเดินทางไปสู่ขอนางโน-ฮิเมะ (濃姫) บุตรสาวของไซโต โดซัง (斎藤道三) ไดเมียวผู้ปกครองแคว้นมิโนะ มาเป็นภรรยาของโนะบุนะงะ
1
นอกจากนี้โนะบุนะงะยังได้มีโอกาสได้สัมผัสกับอาวุธชนิดใหม่ในขณะนั้น คือ ปืน ซึ่งผลิตและนำเข้าโดยชาวโปรตุเกสที่เกาะทะเนะงะชิมะ ทางตอนใต้ของเกาะคีวชู
ในค.ศ. 1551 โนะบุฮิเดะผู้เป็นบิดาถึงแก่กรรม โนะบุนะงะได้อาละวาดกลางงานศพของบิดาของตน ทำให้บรรดาข้ารับใช้ของตระกูลโอะดะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และทำให้มะซะฮิเดะรู้สึกผิดอย่างมากที่ทำการสั่งสอนโนะบุนะงะไม่ดีพอ จึงกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตเพื่อชดใช้ความผิด เหตุการณ์นี้ทำให้โนะบุนะงะเสียใจอย่างมาก เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งไดเมียวแห่งโอะวะริ โนะบุนะงะยังคงอ่อนด้อยประสบการณ์ ทำให้การปกครองของแคว้นตกอยู่ในมือของโอะดะ โนะบุโตะโมะ (織田信友) ผู้ซึ่งมาจากสาขาย่อยของตระกูลโอะดะและเป็นผู้ปกครองปราสาทคิโยะซุ (清洲城) ในค.ศ. 1554 ชิบะ โยะชิมุเนะ (斯波義統) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นชูโงแห่งแคว้นโอะวะริ (ได้รับการแต่งตั้งมาจากรัฐบาลโชกุนมุโระมะชิ) ทราบว่าโนะบุโตะโมะวางแผนลอบสังหารโนะบุนะงะ จึงนำความมาบอกแก่โนะบุนะงะ เมื่อโนะบุโตะโมะทราบว่าแผนของตนรั่วไหลจึงสังหารโยะชิมุเนะไป แต่ในปีต่อมาค.ศ. 1555 โนะบุนะงะได้ชิงลงมือทำการลอบสังหารโนะบุโตะโมะเสียก่อนที่ปราสาทคิโยะซุ
ปีต่อมาค.ศ. 1556 ไซโต โยะชิตะซึ (斎藤義龍) ทำการก่อกบฏต่อบิดาของตนคือไซโตโดซัง ไซโตโดซังขอให้โนะบุนะงะผู้เป็นลูกเขยยกทัพเข้าไปยังแคว้นมิโนะเพื่อช่วยเหลือตนแต่ไม่ทันการ โดซังถูกสังหารในที่รบและโยะชิตะซึจึงขึ้นเป็นไดเมียวแห่งมิโนะคนใหม่ ในปีเดียวกันนั้นเองน้องชายของโนะบุนะงะคือ โอะดะ โนะบุยุกิ (織田信行) ก่อกบฏหมายจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลโอะดะด้วยการสนับสนุนของชิบะตะ คะซึอิเอะ (柴田勝家) ฮะยะชิ ฮิเดะซะดะ (林秀貞) รวมทั้งมารดาของโนะบุนะงะเอง โนะบุนะงะสามารถเอาชนะทัพของน้องชายตนเองได้ในยุทธการอิโน (稲生の戦い) โนะบุนะงะไว้ชีวิตขุนพลทั้งสองแต่ต้องการที่จะสังหารโนะบุยุกิน้องชาย แต่ด้วยการร้องขอของมารดาโนะบุนะงะจึงได้ไว้ชีวิตโนะบุยุกิ ปรากฏว่าในปีต่อมาค.ศ. 1557 โนะบุยุกิวางแผนยึดอำนาจอีกครั้ง โนะบุนะงะจึงแสร้งป่วยเพื่อให้โนะบุยุกิมาเยี่ยมตนที่ปราสาทคิโยะซุ จากนั้นจึงได้สังหารโนะบุยุกิทิ้ง
ยุทธการโอะเกะฮะซะมะ
ในค.ศ. 1561 อิมะงะวะ โยะชิโมะโตะ (今川義元) ไดเมียวผู้ทะเยอทะยานแห่งตระกูลอิมะงะวะซึ่งปกครองดินแดนทางตะวันออกของโอะวะริ ต้องการที่จะยกทัพไปยึดอำนาจยังเมืองเกียวโต ซึ่งเส้นทางเดินทัพจะต้องผ่านแคว้นโอะวะริ ขุนพลคนสำคัญทั้งหลายแห่งตระกูลโอะดะต่างมีความเห็นว่าตระกูลอิมะงะวะมีกำลังอำนาจควรจะปล่อยให้เดินทัพผ่านโอะวะริไปโดยสวัสดิภาพ แต่โนะบุนะงะยืนกรานที่จะเข้าขัดขวางทัพของโยะชิโมะโตะ โดยทัพของโยชิโมโตะมีทหารกว่า 40,000 คน ขณะที่ทัพของโนบุนางะมีทหารเพียง 5,000 คน แต่โนบุนางะจึงคิดว่าถ้าจะสู้ให้ชนะก็ต้องจัดการกับตัวบงการก็คือทัพที่โยะชิโมะโตะอยู่นั่นเอง และในวันนั้นเองนับว่าโชคดีเป็นอย่างมากที่ฝนตก เพราะง่ายต่อการควบคุมคนจำนวนน้อยและยากต่อการควบคุมทัพขนาดใหญ่ ในระหว่างที่ทัพของโยะชิโมะโตะกำลังพักอยู่นั้นโนบุนางะใช้ทหารจำนวนกว่า 2,000 คนเท่านั้นบุกโจมตีทัพหลักอย่างไม่ทันตั้งตัว ในยุทธการโอะเกะฮะซะมะ (桶狭間の戦い) เป็นเหตุให้โยะชิโมะโตะถูกสังหาร เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้โนะบุนะงะมีชื่อเสียงไปทั่วญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นเพียงแค่ไดเมียวของแคว้นเล็กแต่สามารถยับยั้งการยึดอำนาจของไดเมียวผู้ทรงอำนาจอย่างอิมะงะวะ โยะชิโมะโตะได้
1
ปีต่อมาค.ศ. 1561 ไซโต โยะชิตะซึ ไดเมียวแห่งมิโนะถึงแก่กรรม ไซโต ทะซึโอะกิ (斎藤龍興) ผู้เป็นบุตรชายอายุเพียงสิบสี่ปีและไร้ความสามารถขึ้นเป็นไดเมียวแห่งมิโนะคนต่อมา โนะบุนะงะเห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพเข้ารุกรานแคว้นมิโนะ จนสามารถเข้ายึดปราสาทอินะบะยะมะ (稲葉山) อันเป็นที่มั่นของตระกูลไซโตได้ในค.ศ. 1567 ทำให้โนะบุนะงะสามารถเข้าครอบครองแคว้นมิโนะได้ แล้วจึงเปลี่ยนชื่อปราสาทใหม่เป็น ปราสาทกิฟุ (岐阜) จังหวัดกิฟุในปัจจุบัน โนะบุนะงะพำนักที่ปราสาทกิฟุ และประกาศนโยบายรวบรวมญี่ปุ่นที่แตกแยกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของตน พร้อมคติพจน์ที่ว่า เท็งกะ ฟุบุ (天下布武) แปลว่า ปกครองแผ่นดินด้วยการทหาร
เส้นทางสู่เกียวโต
กล่าวถึงเหตุการณ์ในเมืองเกียวโต รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลมิโยะชิ ค.ศ. 1565 โชกุนอะชิกะงะ โยะชิเตะรุ (足利義輝) ได้ถูกสองขุนพลได้แก่ มะซึนะงะ ฮิซะฮิเดะ (松永久秀) และมิโยะชิ โยะชิซึงุ (三好義継) ยกทัพมาสังหารยังที่พัก โนะบุนะงะพำนักอยู่ที่ปราสาทกิฟุได้หนึ่งปี จนกระทั่งในค.ศ. 1568 อะชิกะงะ โยะชิอะกิ (足利義昭) ผู้เป็นน้องชายของโชกุนโยะชิเตะรุได้ร้องขอให้โนะบุนะงะยกทัพไปยังเกียวโตเพื่อทำการแก้แค้นให้แก่พี่ชายของตนโดยการสังหารขุนพลทั้งสอง
โนะบุนะงะจึงเตรียมการยกทัพไปยึดเมืองเกียวโต แต่เส้นทางเดินทัพไปยังเกียวโตต้องผ่านแคว้นโอมิ (近江) จังหวัดชิงะในปัจจุบัน ซึ่งมีไดเมียวตระกูลรกกะกุ (六角) ปกครองอยู่และปฏิเสธที่จะให้ทัพของโนะบุนะงะผ่านแคว้นของตน โนะบุนะงะจึงทำสงครามกับตระกูลรกกะกุและสามารถเอาชนะและกำจัดตระกูลรกกะกุออกไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเดินทัพสามารถเข้ายึดเมืองเกียวโตได้ในฤดูหนาวค.ศ. 1568 ฮิซะฮิเดะและตระกูลมิโยะชิเข้าสวามิภักดิ์ต่อโนะบุนะงะ โนะบุนะงะจึงตั้งให้โยะชิอะกิเป็นโชกุนคนใหม่เพื่อที่จะเป็นหุ่นเชิดของตน จากความดีความชอบในการช่วยเหลือโชกุนโยะชิอะกิในครั้งนี้โนะบุนะงะได้รับข้อเสนอเป็นตำแหน่งในราชสำนักเกียวโตและในบะกุฟุซึ่งโนะบุนะงะปฏิเสธไปทั้งหมด และมีความเห็นว่าการเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงนั้นสำคัญกว่าตำแหน่งทางพิธีการ
รวมอำนาจในภูมิภาคคันไซ
แต่ทว่าโชกุนโยะชิอะกิไม่พอใจการที่ตนตกอยู่ภายใต้อำนาจของโนะบุนะงะ และต้องการที่จะมีอำนาจเต็มในการปกครอง จึงได้ร้องขอไปยังอะซะกุระ โยะชิกะเงะ (朝倉義景) ไดเมียวแห่งแคว้นเอะจิเซง (จังหวัดฟุกุอิในปัจจุบัน) ให้ยกทัพมาขับไล่โนะบุนะงะออกจากเกียวโตและคืนอำนาจให้แก่โชกุน ความทราบถึงโนะบุนะงะ จึงส่งฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ (ต่อมาคือ โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) นำทัพเข้าบุกแคว้นเอะจิเซงและเอาชนะตระกูลอะซะกุระได้ในยุทธการคะเนะงะซะกิ (金ヶ崎の戦い) ค.ศ. 1570
กล่าวถึงตระกูลอะซะกุระ มีพันธมิตรสำคัญเป็นตระกูลอะซะอิแห่งแคว้นโอมิ ซึ่งขณะนั้นมีผู้นำคือไดเมียวอะซะอิ นะงะมะซะ (浅井長政) ผู้เป็นน้องเขยของโนะบุนะงะเนื่องจากนะงะมะซะได้สมรสกับนางโออิจิ (ญี่ปุ่น: お市 โรมาจิ: Ōichi) ผู้เป็นน้องสาวของโนะบุนะงะ โนะบุนะงะคาดหวังว่านะงะมะซะจะเห็นแก่นางโออิจิไม่มาทำสงครามกับตน แต่นะงะมะซะเห็นแก่พันธมิตรกับตระกูลอะซะกุระจึงเข้าช่วยตระกูลอะซะกุระในการสงครามกับโนะบุนะงะ โนะบุนะงะสามารถเอาชนะทัพของทั้งสองตระกูลได้ในยุทธการอะเนะงะวะ (姉川の戦い) อีกสามปีต่อมา ค.ศ. 1573 โนะบุนะงะนำทัพเข้าล้อมปราสาทฮิกิดะ (疋壇城) ของโยะชิกะเงะ และปราสาทโอะดะนิ (ญี่ปุ่น: 小谷城 โรมาจิ: Odani-jō) ของนะงะมะซะ และโนะบุนะงะสามารถเข้ายึดปราสาททั้งสองได้ในที่สุด โยะชิกะเงะหลบหนีไปยังปราสาทอิชิโจดะนิ (ญี่ปุ่น: 一乗谷城 โรมาจิ: Ichijōdani-jō) ส่วนนะงะมะซะกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิต โนะบุนะงะยกทัพตามไปปิดล้อมปราสาทอิชิโจดะนิ จนกระทั่งเข้ายึดปราสาทได้ และโยะชิกะเงะกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตไปเช่นเดียวกับนะงะมะซะ
1
นอกจากนี้ โนะบุนะงะยังทำการปราบปรามกบฏอิกโก อิกกิ (ญี่ปุ่น: 一向一揆 โรมาจิ: Ikkō-ikki) อันเป็นการรวมตัวกันของพระสงฆ์และชาวบ้านท้องถิ่นเพื่อต่อต้านการปกครองของชนชั้นซะมุไร มีฐานที่มั่นอยู่ที่วัดฮงงัง (ญี่ปุ่น: 本願寺 โรมาจิ: Hongan-ji) บนเขาอิชิยะมะ (ญี่ปุ่น: 石山 โรมาจิ: Ishiyama) เมืองโอซะกะในปัจจุบัน ในค.ศ. 1570 โนะบุนะงะยกทัพเข้าทำการปิดล้อมเขาอิชิยะมะแต่ถูกทัพของอิกโก-อิกกิขับไล่ออกไปได้ ปีต่อมาค.ศ. 1571 โนะบุนะงะยกทัพเข้าโจมตีเมืองนะงะชิมะ (ญี่ปุ่น: 長島 โรมาจิ: Nagashima) จังหวัดมิเอะในปัจจุบัน อันเป็นฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่งของอิกโก-อิกกิ หลังการโจมตีหลายครั้งในที่สุดเมืองนะงะชิมะก็เสียให้แก่โนะบุนะงะในค.ศ. 1574 ในค.ศ. 1576 โนะบุนะงะยกทัพเข้าทำการปิดล้อมเขาอิชิยะมะอีกครั้ง จนกระทั่งโนะบุนะงะสามารถเข้ายึดวัดฮงงังบนเขาอิชิยะมะได้ในค.ศ. 1580 หลังจากการปิดล้อมอยู่นานถึงสี่ปี เป็นการปิดล้อมครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น กบฏอิกโก-อิกกิจึงถูกปราบลงได้สำเร็จ
รวมทั้งโนะบุนะงะยังได้ทำการปราบโซเฮ (ญี่ปุ่น: 僧兵 โรมาจิ: Sōhei) หรือพระนักรบ อันเป็นกองกำลังทหารที่สำคัญในภูมิภาคคันไซมาแต่ยุคเฮอัง มีฐานที่มั่นที่วัดเองยะกุ (ญี่ปุ่น: 延暦寺 โรมาจิ: Enryaku-ji) บนเขาฮิเอะอิ (ญี่ปุ่น: 比叡 โรมาจิ: Hiei) จังหวัดชิงะในปัจจุบัน เนื่องจากโซเฮได้ให้หารสนับสนุนแก่ตระกูลอะซะกุระและตจระกูลอะซะอิในการต่อต้านโนะบุนะงะ ในค.ศ. 1571 โนะบุนะงะเข้ายึดเขาฮิเอะอิ ทำการกวาดล้างพระนักรบไปจนหมดสิ้น และในค.ศ. 1573 โนะบุนะงะทำการปลดโชกุนอะชิกะงะ โยะชิอะกิ ออกจากตำแหน่ง ล้มเลิกระบอบการปกครองของโชกุน เป็นการสิ้นสุดรัฐบาลโชกุนมุโระมะชิที่มีมายาวนานถึงสองร้อยกว่าปี
รวมอำนาจในภูมิภาคตะวันออก
อาณาเขตภายใต้การปกครองของโอะดะ โนะบุนะงะ เมื่อถึงแก่กรรมค.ศ. 1582
หลังจากที่โนะบุนะงะวางรากฐานอำนาจในเมืองเกียวโตภูมิภาคคันไซได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงหันความสนใจไปทางตะวันออก ในขณะนั้นภาคตะวันออกของญี่ปุ่นมีไดเมียวผู้ทรงอำนาจสองคนกำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ได้แก่ ทะเกะดะ ชิงเง็น (ญี่ปุ่น: 武田信玄 โรมาจิ: Takeda Shingen) ไดเมียวแห่งแคว้นคะอิ (ญี่ปุ่น: 甲斐 โรมาจิ: Kai) จังหวัดยะมะนะชิในปัจจุบัน และอุเอะซุงิ เค็งชิง (ญี่ปุ่น: 上杉謙信 โรมาจิ: Uesugi Kenshin) ไดเมียวแห่งแคว้นเอะจิโงะ (ญี่ปุ่น: 越後 โรมาจิ: Echigo) จังหวัดนิอิงะตะในปัจจุบัน ในค.ศ. 1572 โชกุนโยะชิอะกิได้ร้องขอให้ทะเกะดะชิงเง็นช่วยปราบโนะบุนะงะ ชิงเง็นจึงยกทัพเข้ารุกรานแคว้นโทะโตะมิ อันเป็นดินแดนของโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ โนะบุนะงะจึงส่งอิเอะยะซุไปทำการปราบทะเกะดะชิงเง็๋น ปรากฏว่าประสบกับความพ่ายแพ้ราบคาบต่อตระกูลทะเกะดะในยุทธการมิกะตะงะฮะระโรมาจิ: Mikatagahara-no-tatakai) แต่โชคก็เข้าข้างโนะบุนะงะเมื่อชิงเง็นได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในปีต่อมาค.ศ. 1573 ทะเกะดะ คะซึโยะริ ไดเมียวแห่งคะอิคนใหม่ยังอายุน้อยขาดประสบการณ์ ได้ยกทัพตระกูลทะเกะดะเข้าปิดล้อมปราสาทนะงะชิโนะ (ญี่ปุ่น: 長篠城 โรมาจิ: Nagashino-jō) ของตระกูลโทะกุงะวะในค.ศ. 1575 แต่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในยุทธการนะงะชิโนะ
เมื่อโนะบุนะงะประสบความสำเร็จในภูมิภาคตะวันออก ทำให้ไดเมียวอุเอะซุงิ เค็งชิง เกรงว่าโนะบุนะงะจะแผ่ขยายอำนาจเข้าครอบงำภาคตะวันออกได้สำเร็จ จึงเข้าร่วมกับตระกูลทะเกะดะต่อต้านการขยายดินแดนของโนะบุนะงะ ด้วยการรุกรานแค้วนโนะโตะ (ญี่ปุ่น: 能登 โรมาจิ: Noto จังหวัดอิชิกะวะในปัจจุบัน) โนะบุนะงะส่งขุนพลระดับสูงเข้าต้านทานในยุทธการเทะโดะริกะวะ ในค.ศ. 1577 ผลปรากฏว่าฝ่ายของโนะบุนะงะพ่ายแพ้ ตระกูลอุเอะซุงิเข้ายึดแคว้นโนะโตะได้ แต่ทว่าไดเมียวอุเอะซุงิเค็งชินได้ถึงแก่กรรมในอีกห้าเดือนต่อมาในค.ศ. 1578 ทำให้ไดเมียวผู้มีอำนาจเพียงพอที่จะต้านทานการรุกรานของโนะบุนะงะหมดสิ้นไป โนะบุนะงะจึงสามารถเข้าครอบครองญี่ปุ่นภาคตะวันออกได้ในที่สุด
การปกครอง
โนะบุนะงะเป็นผู้เริ่มก่อตั้ง "กองกำลังทหารอะชิงะรุ" ซึ่งมาจากบรรดาชาวบ้านธรรมดาที่อยากมีส่วนร่วมกับบ้านเมืองในการทำสงคราม ให้โอกาสผู้ที่อยากเป็นทหารแต่ไม่มีโอกาสได้เป็น ซึ่งจะแตกต่างจากไดเมียวคนอื่นๆ กองกำลังของโนะบุนะงะจึงเป็นกองทัพที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ไม่เหมือนกองกำลังอื่นๆ ของไดเมียวที่มีแต่ซะมุไรจำนวนมาก กองกำลังอะชิงะรุแม้จะมาจากชาวบ้านธรรมดา แต่ทว่าพวกเขามาด้วยใจที่รักบ้านเมือง แตกต่างจากซะมุไรที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง กองกำลังอะชิงะรุนั้นแม้มีศักยภาพในการทำสงครามไม่แพ้พวกซะมุไร แต่ก็แตกต่างกับซะมุไรผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง ที่ยอมพลีชีพในสงครามอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ถ้าถูกจับตัวได้จะไม่มีการซัดทอดโดยเด็ดขาด ยอมแม้แต่จะเซ็ปปุกุตัวเองเพื่อไม่ต้องตายโดยน้ำมือผู้อื่น
กองกำลังอะชิงะรุพ่ายแพ้สงครามบ้างเป็นครั้งคราวเพราะความกลัวตาย ทำให้โนะบุนะงะต้องวางแผนในการทำสงครามใหญ่ ในระหว่างนั้นมีชาวโปรตุเกสเข้ามาติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่น และเผยแผ่ศาสนาคริสต์และปืน อาวุธที่ช่างโปรตุเกสนำมาด้วย หลังจากได้ศึกษาปืนของชาวโปรตุเกสแล้ว โนะบุนะงะมองเห็นว่าอาวุธชนิดนี้สามารถสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งให้แก่ตนได้
ในปี ค.ศ. 1544 โนะบุนะงะก็สั่งให้ช่างชาวญี่ปุ่นแกะและสร้างปืนตามแบบฉบับของชาวโปรตุเกส โดยก่อตั้งโรงงานผลิตอาวุธขึ้น สั่งให้ช่างชาวญี่ปุ่นผลิตปืนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อไดเมียวทั้งหลาย เห็นศักยภาพอาวุธปืนของโอะดะ ต่างพากันหันมาเปลี่ยนอาวุธจากเดิมคือดาบ ธนู หรือธนูเพลิง มาเป็นอาวุธปืนเช่นเดียวกับโนะบุนะงะแทบทั้งสิ้น เพราะอาวุธปืนนั้นสามารถฝึกฝนการใช้งานได้อย่างง่าย ไม่เหมือนกับดาบหรือธนูที่ต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนอย่างยาวนาน
แม้ศัตรูอย่าง อะชิคะงะ โยะชิอะกิ อดีตโชกุนผู้เป็นหุ่นเชิดของโนะบุนะงะจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่โนะบุนะงะกลับยังมีศัตรูจำนวนมากที่เป็นปรปักษ์กับเขา หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของเขาคือพระ นักพรต และนักรบ พระนักรบและนักพรตจำนวนมากต่อต้านและท้าทายอำนาจของโนะบุนะงะ เขาทำสงครามกวาดล้างพระนักรบหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งการรบกันระหว่างพระนักรบและโนะบุนะงะครั้งที่สำคัญที่สุดคือ การบุกเข้าทำลายล้างสำนักสงฆ์ของพระนักรบบนเทือกเขาฮิเออัน ซึ่งเป็นพุทธสถานที่เก่าแก่ มีอายุหลายพันปี
ในการทำสงครามกวาดล้างสำนักสงฆ์ของกลุมกบฏอิคโค อิคิ โนะบุนะงะสั่งการให้กองกำลังทหารจำนวนมากกว่า 30,000 นาย เข้าโอบล้อมเทือกเขาฮิเออันก่อนจะตีโอบตะลุยขึ้นไปยังวัดซะกะโมะโตะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ของอิคโค อิคิ และเป็นจุดศูนย์กลางของพระนักรบ และการกวาดล้างพระนักรบในครั้งนี้เองที่โนะบุนะงะได้แสดงความโหดร้ายออกมาอย่างชัดเจน เขาออกคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาฮิเออันจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็กทารก สั่งให้กองกำลังทหารของตน เผาทำลายบ้านเรือนทุกหลังจนวอดวาย และให้กองกำลังทหารของเขาบุกโจมตีพระพุทธสถานแห่งอื่น ๆ ที่มีทีท่าว่าจะก่อการกบฏต่อเขา
จากการทำสงครามกับสำนักสงฆ์ที่โนะบุนะงะได้แสดงความเหี้ยมโหดออกมาอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่ว ถึงกระนั้นโนะบุนะงะก็ยังคงเป็นขุนพลนักรบที่มีวัสัยทัศน์กว้างไกล เขาไม่ได้ทำลายเมืองซะคะอิ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น นอกจากไม่ทำลายแล้วยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือแก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ประกอบการค้าขายรายใหญ่ ๆ ของเมืองซะคะอิ เขาวางรากฐานของการค้าและเศรษฐกิจอย่างดี โดยให้สิทธิพิเศษแก่พ่อค้าแม่ค้าในด้านภาษีอากร ควบคุมการชั่ง การตวง และวัดสิ่งของให้ได้ตามระบบมาตรฐานของประเทศ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นในขณะนั้นไม่ได้มีแต่ด้านมืดด้านเดียวอย่างที่ควรจะเป็น โอะดะ โนะบุนะงะอาจจะดูโหดร้าย สร้างศัตรูไว้มากมาย แต่เขาก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้มาอย่างโชกโชน จวบจนวาระสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของอะเกะชิ มิสึฮิเดะ
สิ้นสุดการปกครอง
ในช่วงค.ศ. 1576 - 1580 ระหว่างที่โนะบุนะงะทำการล้อมวัดอิชิยะมะบนเขาฮงอันอยู่นั้น ไดเมียวโมริ เทะรุโมะโตะ (ญี่ปุ่น: 毛利輝元 โรมาจิ: Mōri Terumoto) แห่งแคว้นอะกิ (ญี่ปุ่น: 安芸 โรมาจิ: Aki จังหวัดฮิโระชิมะในปัจจุบัน) ซึ่งกำลังเรืองอำนาจอยู่ในภูมิภาคชูโงะกุในขณะนั้น ได้ส่งเสบียงมาช่วยเหลือวัดอิชิยะมะทำให้วัดอิชิยะมะสามารถต้านทานการปิดล้อมของโนะบุนะงะได้ โนะบุนะงะจึงมีแผนการพิชิตตระกูลโมริแห่งชูโงะกุโดยแต่งตั้งให้ฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ (ญี่ปุ่น: 羽柴秀吉 โรมาจิ: Hashiba Hideyoshi ต่อมาคือโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) เป็นผู้ยกทัพเข้ายึดครองภูมิภาคชูโงะกุในค.ศ. 1576 ระหว่างที่ทำสงครามเพื่อขยายดินแดนอยู่นั้น ในค.ศ. 1582 ฮิเดะโยะชิได้ขอกำลังเสริมจากโนะบุนะงะ โนะบุนะงะจึงมอบหมายให้อะเกะชิ มิสึฮิเดะ (ญี่ปุ่น: 明智光秀 โรมาจิ: Akechi Mitsuhide) เป็นผู้นำกำลังเสริมไปช่วยเหลือฮิเดะโยะชิ ในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮิเดะโยะชิ
อะเกะชิ มิซึฮิเดะ เป็นขุนพลระดับสูงของตระกูลโอะดะ ทำสงครามรับใช้โนะบุนะงะมานานมีผลงานมากมาย ใน ค.ศ. 1579 โนะบุนะงะสั่งการให้มิซึฮิเดะนำทัพบุกโจมตีปราสาทยะงะมิของตระกูลฮะตะโนะ (ญี่ปุ่น: 波多野 โรมาจิ: Hatano) ในเมืองเกียวโต แต่มิซึฮิเดะเลือกใช้วิธีเจรจา เชื่อว่ามิซึฮิเดะส่งมารดาของตนไปเป็นตัวประกัน แต่พวกฮะตะโนะคิดการจะลอบสังหารโนะบุนะงะแล้วแสร้งมาขอสวามิภักดิ์ โนะบุนะงะจึงสั่งประหารชีวิตคนเหล่านั้นทั้งหมด ส่งผลให้มารดาของมิซึฮิเดะต้องโดนสังหารไปด้วย มิซึฮิเดะจึงมีความเจ็บแค้นแล้วจำฝังใจเรื่อยมา
1
ในค.ศ. 1582 มิซึฮิเดะได้รับมอบหมายให้นำกำลังเสริมไปช่วยเหลือฮิเดะโยะชิในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮิเดะโยะชิ ซึ่งเป็นการดูถูกมิซึฮิเดะอย่างมากด้วยเหตุที่มิซึฮิเดะมีตำแหน่งและอำนาจไม่ได้เป็นรองจากฮิเดะโยะชิ[4] เวลานั้น มิซึฮิเดะทราบว่าโนะบุนะงะเพิ่งเสร็จสิ้นจากงานเลี้ยงน้ำชาต้อนรับอิเอะยะซึ แล้วเดินทางพร้อมทหารองครักษ์ประจำตัวไม่ถึงร้อยคนไปพำนักอยู่ที่วัดฮนโน (ญี่ปุ่น: 本能寺 โรมาจิ: Honnō-ji) ในเมืองเกียวโต ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของโนะบุนะงะเอง ทำให้เขาประมาทและไม่ได้เตรียมตัวว่าจะโดนก่อกบฎหรือลอบโจมตี[5] มิซึฮิเดะแสร้งทำเป็นว่ายกทัพออกไปจากเมืองเกียวโตแต่กลับมาเข้าบุกโจมตีวัดฮนโน ฝ่ายโนะบุนะงะมีกองกำลังเพียงเล็กน้อยไม่สามารถต้านทานได้ ไม่มีใครพบร่างของโนะบุนะงะแต่คาดว่าโนะบุนะงะน่าจะกระทำการเซ็ปปุกุถึงแก่กรรมไปในวัดฮนโนนั่นเอง โอะดะ โนะบุตะดะ (ญี่ปุ่น: 織田信忠 โรมาจิ: Oda Nobutada) บุตรชายคนโตของโนะบุนะงะถูกปิดล้อมอยู่ในวัดอีกแห่งหนึ่งในเกียวโตเช่นกัน และกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตไปเช่นเดียวกับบิดา
ฝ่ายฮิเดะโยะชิเมื่อทราบข่าวการลอบสังหารโนะบุนะงะ จึงรีบยุติสงครามในภูมิภาคชูโงะกุทันทีและรีบยกทัพมายังเมืองเกียวโตเพื่อทำการแก้แค้นให้แก่นายของตน ทัพของฮิเดะโยะชิและมิซึฮิเดะปะทะกันในยุทธการยะมะซะกิ (ญี่ปุ่น: 山崎の戦い โรมาจิ: Yamazaki-no-tatakai) ในค.ศ. 1583 ฮิเดะโยะเป็นฝ่ายชนะและมิซึฮิเดะเสียชีวิตในที่รบ
เมื่อโอะดะ โนะบุนะงะ ถูกลอบสังหารที่วัดฮนโนพร้อมกับบุตรชายคนโตผู้เป็นทายาทสืบทอดตระกูล ทำให้ตระกูลโอะดะขาดทายาท บุตรชายคนที่สองและคนที่สามของโนะบุนะงะคือ โอะดะ โนะบุกะซึ (ญี่ปุ่น: 織田信雄 โรมาจิ: Oda Nobukatsu) และโอะดะ โนะบุตะกะ (ญี่ปุ่น: 織田信孝 โรมาจิ: Oda Nobutaka) ต่างต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลโอะดะ แต่ทว่าอำนาจในการปกครองที่แท้จริงนั้นตกเป็นของฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ จนในค.ศ. 1584 ฮิเดะโยะชิสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของญี่ปุ่นแทนที่ตระกูลโอะดะได้สำเร็จ การปกครองญี่ปุ่นของตระกูลโอะดะเป็นเวลาเกือบ 20 ปีจึงสิ้นสุดลง และถูกลดสถานะลงเป็นเพียงไดเมียวตระกูลหนึ่ง
ที่มา :
https://th.m.wikipedia.org/wiki
3 บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
"รวมบทความชุดประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุ"
3
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย