18 มี.ค. 2019 เวลา 16:18 • ประวัติศาสตร์
“ เจ้าผีเสื้อสีแดง “....ที่หมู่บ้านขวยหยวน ในมลฑลอานฮุย...“ฉันว่ามันต้องขโมยกระเป๋าของฉันไปแน่นอน” ครูต่งจินฮวา เธอเริ่มมีลักษณะออกโรงออกงิ้ว หน้าตาบูดบึ้งกลบรอยแป้งฉาบที่บนใบหน้าราคาแพงเสียสิ้น เธอแวะมาที่โต๊ะในห้องพักครูในช่วงจังหวะที่หลายคนทยอยกลับบ้านไปแล้ว...
“ น้องต้องจัดการให้พี่นะ ต้องเป็นฝีมือของเด็กที่ชื่อว่า หูเตี๋ยแหงๆเลย (หูเตี๋ย แปลว่า ผีเสื้อ) เผลอแผล็บเดียวมันฉกไปเลย มันร้ายจริงๆ พรุ่งนี้กะว่าจะไปทำบุญวันเกิดสักหน่อย หนอยแน่ะมาซวยได้ อีเด็กเวร”...ทะเลอารมณ์ของครูต่งจินฮวา ยังโหมกระหน่ำ...
ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่ครูต่งจินฮวา ละล่ำละลักบอก หูเตี๋ย ที่ตกเป็นจำเลยคงไม่ใช่ใครนอกจาก “เด็กหญิงหูเตี๋ย” เธอเป็นเด็กนักเรียนหญิงชั้นป.4 เด็กจอมแก่นแต่งตัวปอนๆ ไม่สนใจการเรียนได้แต่สร้างความปวดเศียรเวียนเก้าให้กับครูผู้สอน จนครูทุกท่านส่ายหัวด้วยสมองอันมืดทึบและความสกปรก หัวหยิกหยอยสีแดง เล็บดำ ฟันเหลือง ได้กลิ่นฉี่ฟุ้งกระจาย ไปที่ไหนก็วงแตกที่นั่น...
“ ดูมันสิ! มันทำท่าลับๆล่อๆไปคืนกรรไกรให้พี่ในห้องสมุด พี่ติดพันอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พี่ให้มันไปวางเอาไว้ที่โต๊ะในห้องพักครู พี่วางกระเป๋าไว้ด้วย พอกลับไปที่ห้องหลังเลิกเรียน กระเป๋าอันตรธานไปเลย โอ๊ย!..อีเด็กเวร พี่เพิ่งปวดหัวกับเรื่องผัวมีเมียน้อย ซ้ำร้ายต้องสูญกระเป๋าไปอีกหรือเนี่ย”...
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ภารโรงกำลังเดินเข้ามาปิดห้องเรียนห้องสุดท้าย ลำแสงยามเย็นอ่อนล้าลง แต่อารมณ์ของครูต่งจินฮวา กลับร้อนแรงราวไฟไหม้ตึกแถว...
“ ผมว่าพี่ลองทบทวนดูดีๆ ว่าพี่ไปลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า!..เด็กมันจะกล้าขโมยหรือ?” ผมลุกขึ้นยืนทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย...
“ น้องยังไม่รู้จักมันอีกแล้ว หูเตี๋ย มันขี้ขโมยจะตาย ขนาดขนมนมเนยที่เด็กๆเอามากินในโรงเรียนยังขู่ขอเอาดื้อๆ บ้านใกล้เรือนเคียงยังเอือมระอากับความมือไวใจเร็วของมัน ถ้าจับได้พี่จะให้ผ.อ.ไล่มันออก”...
ผมนึกถึงภาพเด็กหญิงหูเตี๋ย คนนี้อีกครั้ง เธอเป็นเด็กผอมโซ อารมณ์ดี ชอบช่วยเหลือเพื่อนๆอาสาทำงานหนัก แม้จะเรียนไม่เก่งนัก ครูหลายคนมักไหว้วานให้ช่วยถูบ้าน เพื่อแลกกับอาหารหรือขนมนมเนยแทนค่าจ้าง เมื่อยามเย็นหลังจากจัดบอร์ดเสร็จ เด็กหญิงแมลงปอเป็นคนอาสานำกรรไกรที่ผมยืมไปคืนครูต่งจินฮวาเอง ไม่น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีงามเช่นนี้เลย...
“ น้องต้องไปเป็นเพื่อนพี่ที่บ้านหูเตี๋ย จะได้เห็นให้เต็มตาเสียที น้องเพิ่งย้ายมาใหม่ยังไม่รู้จักเด็กคนนี้เพียงพอหรอก ขึ้นรถกับพี่ไปเดี๋ยวนี้เลย”...
ครูต่งจินฮวา เดินนำหน้าผมลงไปที่รถเก๋งสีดำราคาแพง บ่งบอกถึงฐานะรวมทั้งตำแหน่งภรรยาของนายตำรวจท้องถิ่น ยิ่งทำให้เธอขับรัศมีของครูต่งจินฮวา ให้เป็นที่เกรงขาม เธอยังบ่นไปเรื่อยๆเพื่อระบายควันพิษภายในอารมณ์...
“ ไม่รู้เป็นอย่างไรช่วงนี้พี่ดวงซวย เพิ่งจับได้ว่าสามีตำรวจไปแอบมีกิ๊ก พี่เลยไปอาละวาดถึงที่ รู้ไหมมันเป็นใคร ก็อีแค่เด็กสาวเชียร์เบียร์ไม่มีหัวนอนปลายตีน พี่ด่ากราดในร้าน สามีพี่กระชากพี่กลับ ดูสิมันเข้าข้างกัน สามีเขายังตำหนิพี่อีกว่า ทำตัวไม่เหมาะสมกับอาชีพครู มันเลยหายหัวไปหลายวัน พี่ละกลุ้มๆ”...
ผมรับฟังครูต่งจินฮวา ด้วยความสนใจ พยักหน้ารับเห็นด้วยแม้จะค้านในหลายประเด็น ใครเลยจะรู้ว่าผู้หญิงสวยรวยทรัพย์มีบุคลิกงามสง่าอย่างนี้ จะมีริ้วแผลยับเยินในหัวใจ และกำลังกลายร่างเป็นยักษ์...
“ ผมว่าพี่ใจเย็นๆก่อนดีกว่า มันอาจจะไม่ร้ายแรงเหมือนพี่คิดก็ได้” ผมพูดขณะที่รถแล่นเข้ามาในท้ายซอยริมทุ่งนา และจอดถามทางจากผู้คนที่เดินอยู่ตามถนนเป็นระยะๆ...
“ เราต้องออกแรงเดินไต่คันนาไปอีก รถมันแล่นไปไม่ถึง” ครูต่งจินฮวา เปิดประตูรถก้าวลง เธอจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ริมทาง ผมมองไปสุดสายตา กลางทุ่งข้าวสีเขียวอ่อน มีเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในร่มไม้ครึ้ม ลมพัดแรง หอบเอากลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาแต่ไกล ครูต่งจินฮวา เธอเดินนำหน้าอย่างทุลักทุเล ร้องเท้าส้นสูงพลิกคว่ำ, พลิกหงายอยู่หลายครั้ง เล่นเอาเธอต้องกลั้นใจถอดมัน แล้วหิ้วไว้ในมือ เธอเดินกระย่องกระแย่งเมื่อเหยียบย่างไปบนผืนหญ้าตามคันนา พร้อมปาดเหงื่อที่ไหลย้อย...
ภาพกระท่อมโกโรโกโสที่อยู่ตรงหน้า เป็นเพียงการนำไม้ไผ่มาตีแปะๆเอาไว้ ประตูบ้านทำจากเศษไม้หยาบๆ หลังบ้านมีควันโขมงเหมือนมีใครก่อไฟหุงข้าว...
“ อีหูเตี๋ย เธออยู่บ้านไหม?” ครูต่งจินฮวา ตะเบ็งเสียงดังอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ประตูบานนั้นได้เปิดออก ใบหน้าของเด็กน้อยขมุกขมัวด้วยรอยเปื้อนดำยิ้มกว้าง เด็กหญิงหูเตี๋ย ได้ทักทายสวัสดีพวกเรา...
“ นี่เธออยู่กับใคร แล้วแม่เธอไปไหน?” เป็นธนูดอกแรกที่จู่โจมเข้าเป้า เด็กหญิงเนื้อตัวมอมแมมส่ายหน้า ทำท่าลังเลคงไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี จู่ๆเธอก็เงียบเสียง แววตาแป๋ว ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว...“ ฉันถามเธอจริงๆว่า เมื่อเย็นนี้เธอขโมยกระเป๋าของฉันมาหรือเปล่า” ครูต่งจินฮวาโพล่งออกมา เด็กหญิงหูเตี๋ย เธอทำท่าตกใจพร้อมกับส่ายหน้า เธอมองที่พื้นทั้งน้ำตากลบหน้า...
“ อย่ามาสำออย แกนี่ริจะเป็นโจรตั้งแต่เด็กเลยหรือไร ฉันจะเข้าไปค้นในบ้านแก”...ครูต่งจินฮวา เปิดประตูเข้าไป ต้องผงะหยุดเท้าไว้ชั่วครู่ สายตาที่เห็นทำให้ตะลึง มีเพียงพื้นไม้กระดานยกสูง ไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรเลย กองผ้าห่มและมุ้งเก่าๆแปะไว้ที่ตรงข้างฝา หม้อข้าวสีดำตั้งไว้อยู่บนเตาไฟ ใกล้ๆกัน ก็มีโอ่งน้ำใบเก่าคร่ำครึไร้ฝาปิด เราต่างมองหน้ากันนิ่ง คล้ายมีก้อนอะไรติดอยู่ตรงลำคอ ไม่รู้จะทำอะไรกันต่อไปดี...
“ พ่อ ครูเขามาบ้าน” เด็กหญิงหูเตี๋ย ตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นร่างของพ่อโงนเงนคละเคล้ากลิ่นเหล้า เข้ามาในบ้าน “...ครูมีธุระอะไรหรือ ไอ้ผมมันเป็นพวกหาเช้ากินค่ำ รับจ้างเขาทำงานในตลาด หูเตี๋ยหาน้ำหาท่ามาให้ครูกินทีสิ” เด็กหญิงหัวแดงเดินหายเข้าไปตรงมุมครัว หยิบขันพลาสติกกระด่ำกระด่างตักน้ำมายื่นให้ ครูต่งจินฮวาปฏิเสธคงไม่กล้ากินแม้ว่าจะเดินเข้ามาอย่างเหน็ดเหนื่อย ส่วนผมรับถือไว้ชั่งใจว่าจะกินดีหรือไม่...
“ ฉันมานี่ก็เพราะว่า ลูกสาวคุณมันขโมยกระเป๋าของฉันมา จะมาค้นและขอคืน อย่าให้ฉันต้องไปแจ้งความเลย มีเงินตั้งเป็นหมื่น” ครูต่งจินฮวา แจ้งขอหา...พ่อขี้เมากวักมือเรียกลูกสาวเข้ามาใกล้ๆ เด็กน้อยตัวสั่นเทา...“ มึงขโมยเขาจริงหรือเปล่า นิสัยมึงชั่วเหมือนแม่เลย มีชู้หนีตามผัว ต้องให้กูเลี้ยงลูกเลวๆอย่างมึง” เด็กหญิงหลับตาสลัดหัว ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา เท่ากับบันดาลโทสะ ผู้เป็นพ่อเงื้อมือตบฉาดบนใบหน้านั้นดังผลัวะ เด็กน้อยซวนเซราวกับผีเสื้อถูกเด็ดปีก ถลาทรุดฮวบ...ไม่มีใครสนใจหม้อข้าวที่กำลังเดือดทะลักบนเตาไฟอยู่อย่างนั้น...
ครูต่งจินฮวาและผม เดินกลับไต่คันนามาเงียบๆ ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงคิด ดวงอาทิตย์สีส้มอำลาฟ้าตรงดงป่ายาง เราต่างไม่รู้สึกอินังขังขอบ แม้ร่างกายจะได้รับไอเย็นจากลมพลบค่ำ แต่มันไม่สามารถดับความร้อนในใจของครูต่งจินฮวาลงไปได้...เธอขับรถมาส่งผมที่บ้าน ผมเพียงบอกกับเธอว่า...
“ พี่อย่าเพิ่งไปแจ้งความเลย พรุ่งนี้ผมจะลองถามให้อีกที เด็กคนนี้คงไม่กล้าขโมยหรอก แม้เขาจะจนขนาดนั้น พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่”...
ก่อนนอนผมหลับตาไล่เรื่องราวของเด็กหญิงหูเตี๋ย เด็กหญิงสมองช้าคนนี้มักจะมาเรียนตั้งแต่เช้า ชอบเก็บกวาดห้องและอาสาวิ่งไปซื้อกาแฟเย็นบ่อยๆ เธอมักหลงลืมไม่คืนเงินทอนให้ ผมคิดเสียว่าเป็นค่าจ้างให้เด็กคนนี้ไปก็แล้วกัน...
“ โตขึ้นหนูอยากมีปีกคะ หนูจะได้บินไปไกลๆ บินไปตามหาแม่ที่อยู่ไกล ไม่รู้แม่หายไปไหน หนูอยากมีปีกสีแดงคะ”...
ดวงตาสดใสคล้ายแสงดาวกระจ่างฟ้า เงยหน้าจากภาพวาด ทำให้ผมนั้นนิ่งอึ้ง ในความช่างพูดของเธอ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ซ้อนเร้นในภาพนั้น จนยากที่จะแปลความ แล้วเด็กคนนี้หรือจะไปขโมยกระเป๋าสตางค์ของครูต่งจินฮวา หรือว่าปีศาจแห่งความจนต้อนให้เด็กหญิงหูเตี๋ย ไปสู่มุมแห่งการแก้ปัญหา...
คืนนั้นกว่าจะหลับตาลงได้ช่างยากลำบากใจ ภาพของเด็กปิดหน้าร้องไห้ และเสียงตะโกนด่าทอของครูต่งจินฮวา สลับไปมา กระโดดเข้ามาในฝัน หรือว่าโลกนี้มีเพียงสีขาวและสีดำเท่านั้น...
ตอนเช้าก่อนเข้าแถว ภารโรงยิ้มแป้นนำกระเป๋าหนังสีดำมาคืนครูต่งจินฮวา พร้อมทั้งรายงานข่าวหน้าระรื่นว่า เขาพบมันในห้องสมุด หนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานวางทับอยู่ ซ่อนหลงหูหลงตาคนเป็นเจ้าของ นั่นแสดงถึงความหลงลืมของตัวครูต่งจินฮวานั่นเอง...บรรยากาศยามเช้าพลิกมาเป็นคนละด้าน ต่างกลับเมื่อวานยามเย็น ครูต่งจินฮวายิ้มกว้างหน้าตาบานแฉ่งเข้ามาในห้องที่ผมกำลังสอน และขออนุญาตเรียกเด็กหญิงหูเตี๋ย ให้ออกมาหน้าชั้นเรียน พร้อมทั้งประกาศทั่วห้องว่า...
“ ครูต้องขอโทษหนูหูเตี๋ยด้วยนะคะ กระเป๋าที่หายมันเกิดจากความพลั้งเผลอของครูเอง ทำให้หนูต้องพลอยซวยไปด้วย ครูมีของขวัญวันเกิดให้หนูด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีวันเกิดตรงกันแม้จะต่างกันหลายรอบ”...
ทุกคนปรบมือกันทั้งห้อง รอยยิ้มเปื้อนระบายบนใบหน้าของทุกคน...
หลังจากวันนั้นหากใครมองออกไปในสนามหญ้าหน้าโรงเรียน จะเห็นเจ้าผีเสื้อสีแดงวิ่งไล่จับเพื่อนกลางสนาม สวมเสื้อกันหนาวสีแดง ที่ครูต่งจินฮวามอบให้ โบยบินไปตรงโน้นที ตรงนี้ที ราวกับว่ากำลังโฉบทุ่งดอกไม้ พร้อมกับเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากสนั่นลั่น....
โฆษณา