แต่เหตุการณ์วันนั้นต่างออกไป
น้องคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วป่าวประกาศชัดเจนว่าเป็นแฟนพรรคอนาคตใหม่ แล้วชมเชยความเท่ของ #ฟ้ารักพ่อ ไม่หยุดปาก เมื่อมีคนเปิดประเด็น คนบนโต๊ะอีกคนก็ไม่รอช้า รีบบอกว่าตนนั้นเป็นแฟนประชาธิปัตย์มายาวนาน มั่นใจมากว่านโยบายครั้งนี้ดีที่สุด น้องผู้หญิงที่บ้านเกิดอยู่บุรีรัมย์จึงขอใช้สิทธิ์พูดบ้างว่า “หนูกาพรรคภูมิใจไทย” พี่ใหญ่อีกคนเดินผ่านโต๊ะมาพอดีก็ชนแก้วพวกเราหนึ่งทีแล้วบอกว่า “ผมเป็นแฟนทักษิณและพรรคเพื่อไทยครับ”
ไม่มีดราม่า ไม่มีการชี้หน้าด่ากัน ไม่มีการแบ่งพวก ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความสนุกสนานที่ได้แลกเปลี่ยนความเชื่อ เห็นตรงก็จับมือ-ปรบมือ เห็นต่างก็ถกเถียงกันด้วยเหตุผล นโยบายของพรรคนั้นเป็นจริงได้ไหม วิสัยทัศน์ของแคนดิเดตคนนี้เจ๋งพอหรือเปล่า
ถือเป็นวงสนทนาที่มีคุณภาพ มีแต่รอยยิ้ม เคารพความหลากหลาย รักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของท่าน นี่คือสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นมานานมาก และผมหวังว่าบรรยากาศบนโต๊ะวันนั้นจะเป็นบรรยากาศจริงของบ้านเมืองเราให้ได้สักวันหนึ่ง มันคือประชาธิปไตยในวงเหล้าอย่างแท้จริง
เหตุการณ์ที่สอง การเลือกตั้งครั้งนี้คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมากที่สุดตั้งแต่เราเคยเลือกตั้งมา เราจึงได้เห็นการนำเสนอข่าวสารและความคิดเห็นต่างๆ จากผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์และสำนักข่าวมากมาย เกิดเป็นสงครามที่ร้อนแรงไม่ต่างจากการดีเบตของนักการเมือง
ด้านบวกก็มีให้เห็น แต่ด้านลบดูเหมือนจะน่ากังวลใจไม่น้อย ข่าวปลอม ข่าวเท็จ ข่าวบิดเบือน ยุยง ปลุกปั่น ปั้นกระแส ด่าทอหยาบคาย โจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบไร้ราคา เหล่านี้กำลังเป็นภัยอันตรายที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้าย ยิ่งน่ากลัว
ความจริงแล้วการสร้างข่าวปลอม (Fake News) และข่าวบิดเบือน (Disinformation) ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศทั่วโลกก็เคยเผชิญ เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 หรือกรณี Brexit แต่สิ่งที่ประเทศไทย ‘ต้องจับตา’ เป็นพิเศษคือ ผู้ที่เผยแพร่ข่าวบิดเบือนในครั้งนี้กลับเป็น ‘สำนักข่าวกระแสหลัก’ เสียเอง
นอกจากจะห้ามไม่ให้ใครมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการกาบัตรเลือกตั้งของเราแล้ว ก็ต้องไม่ให้ใครมาลิดรอนสติของเราเป็นอันขาด
เหตุการณ์ที่สาม การเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์คนออกมาใช้สิทธิ์ถล่มทลาย ในแง่ตัวเลข คิดเป็นเกือบ 87% ของผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ากว่า 2.6 ล้านคน