27 มี.ค. 2019 เวลา 13:43 • ความคิดเห็น
เมื่อไหร่จะเลิก "ขอ"
ตั้งแต่เด็กจนโต เราก็คุ้นชินกับการขอ....ขอให้รวย ขอให้ถูกหวย ขอให้เจอคู่แท้ ขอให้ได้ลูก ขอให้สอบผ่าน ขอให้ได้งาน แม้แต่ขอให้ไปนิพพาน (ผู้เขียนเคยขออย่างนี้จริงๆ)
ขอให้อย่างนู้น ขอให้อย่างนั้น ไปสถานที่ใด วัดไหน เจอพระองค์ใดก็ล้วนแต่ขอ
เมื่อขอเฉยๆแล้วไม่ได้ ก็เริ่มฉลาดขึ้นด้วยการขอแลกเปลี่ยน จนกลายเป็นการบนบาน เช่น ถ้าถูกหวย ลูกจะแก้บนด้วยนู้น ด้วยนี้ ด้วยนั้น แล้วแต่จะสรรหามาบน หรือให้ถูกใจสิ่งศักดิ์สิทธ์ ณ สถานที่นั้นๆ
ถามตัวเองดูสักนิดว่า จริงๆแล้ว เป็นเพราะคุณ “ขี้เกียจ” จะทำสิ่งที่คุณอยากได้ อยากมี อยากดี อยากเป็นนั้นด้วยตัวคุณเองหรือเปล่า คุณเลยอยากได้ที่ยึด ด้วยการฝากความหวัง ความต้องการไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็น
เคยสังเกตมั้ย ทุกครั้งที่เราขอ ที่เรามุ่งหวังตั้งเอา ใจเราเป็นปกติหรือไม่ ใจเราสงบ ว่าง เบาสบายหรือไม่ มันมีแต่ความเหนียวหนืด คับแน่นใช่หรือไม่
ลองฉุกคิดดูสักนิดว่า ถ้าคุณเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกด้วยความอยาก ด้วยความโลภ ด้วยการเอาเข้าตัว แล้ว เม็ดต่อไปคุณจะเป็นอะไร
ทีนี้ลองมาดูสิ่งที่ตรงข้ามกับการขอดูบ้าง คุณเคยที่จะ “ให้” อะไรกับใครอื่นหรือเปล่า การให้ที่มาจากจิตจากใจส่วนลึกๆของคุณเอง
การให้ที่ปราศจากความมุ่งหวังตั้งเอา ให้แล้วจบๆไป ไม่ได้หวังให้ได้อะไรกลับมาจริงๆ
คุณเคยสังเกตมั้ยว่าใจตอนให้นั้นมันเป็นอย่างไร มันอิ่มเอม เป็นสุข หรือแม้แต่ว่างเปล่า เบาสบายหรือไม่
คงมีบางคนอาจแย้งว่า ถ้าตอนนี้ชีวิตมันทุกข์ มันอับจนหนทาง จนต้องขอพึ่งพิงสิ่งอื่นจะแย่ขนาดนั้นเลยหรือไร ใช่มันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้น
แต่พวกเราหลงลืมกันไปหรือเปล่าว่า กฎแห่งกรรม มีอยู่จริง ทำสิ่งใดไว้ ย่อมได้รับผลจากสิ่งนั้น เมื่อใจเรามันพร้อมจะให้อย่างหมดจิตหมดใจ แล้วไยต้องกลัว
ยังไงผลมันก็ต้องย้อนกลับมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงแต่เราไม่ต้องไปมุ่งหวังไปอยากให้มันกลับมา เพราะผลมันจะวนกลับมาเอง นี่คือความต่าง
ผลที่เจือไปด้วยความอยาก กับผลที่ให้จากใจที่ไม่อะไรกับอะไร มันจะต่างกันมากไหม ลองคิดดูเอาเอง
เคยได้ยินไหมกับคำว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้”
#ฝากไว้ให้คิด
โฆษณา