30 มี.ค. 2019 เวลา 05:31 • กีฬา
บิลล์ แชงคลีย์ ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล แยกทางกับสโมสรแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง แต่ทำไมวันที่เขาอยากกลับมา ถึงโดนปฏิเสธ วิเคราะห์บอลจริงจังย้อนอดีต 45 ปีที่แล้วให้ฟัง
12 กรกฎาคม 1974 เมืองลิเวอร์พูลต้องสั่นสะท้าน เมื่อ บิลล์ แชงคลีย์ ผู้จัดการทีม อันดับหนึ่งตลอดกาลของสโมสร ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ตอนข่าวหลุดออกมา ไม่มีใครเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แชงคลีย์เพิ่งอายุ 60 ปีเท่านั้น เขายังแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรเลย
ขณะที่ผลงานก็ยอดเยี่ยม ทีมหงส์แดง เพิ่งคว้าแชมป์เอฟเอคัพ แถมตัวแชงคลีย์ยังเพิ่งได้รับเครื่องราชย์ชั้นโอบีอี มาสดๆร้อนๆ
ว่ากันตรงๆ ตำแหน่งของแชงค์ส ชั่วโมงนั้นคือ Untouchable ไม่มีใครแตะต้องได้ทั้งสิ้น
แต่สุดท้ายเขากลับตัดสินใจลงจากตำแหน่งเอง
จอห์น สมิธ ประธานบริหาร, ปีเตอร์ โรบินสัน เลขานุการสโมสร และ บ็อบ เพสลีย์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม ต่างอ้อนวอน ขอให้แชงคลีย์เปลี่ยนใจ คือทีมจะอยู่อย่างไรล่ะ ถ้าไม่มีแชงคลีย์สักคน
แชงคลีย์คุมหงส์มา 15 ปี เขาคอนโทรลทุกอย่างในทีมได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นแม่ทัพตัวจริง คือทีมต้องวุ่นวายมากแน่ๆ ถ้าไม่มีเขาในสโมสร
ไม่มีใครรู้สาเหตุ 100% ว่าแชงคลีย์อำลาสโมสรเพราะอะไร ส่วนหนึ่งคาดเดาว่าเขาอิ่มตัวแล้วกับความสำเร็จ แต่บางส่วนก็ฟันธงว่า เขาต้องการให้เวลากับภรรยาเนสซี่ ที่ต้องใช้ชีวิตเดียวดายมานานหลายปี
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร แชงคลีย์ก็หนักแน่นกับมันมาก เขาไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว
บ๊อบ เพสลีย์แนะนำให้แชงคลีย์ ควร Take a break ไปพักผ่อนสักระยะ ล่องเรือไปไหนก็ได้ให้เวลาตัวเองได้คิด แล้วพอร่างกายกับจิตใจสดชื่นแล้ว ก็ค่อยกลับมาทำงานใหม่ก็ได้ แต่แชงคลีย์ไม่สนคำพูดของเพสลีย์
"ผมซื่อสัตย์กับตัวเอง เมื่อเห็นว่ามันดีแล้ว ผมก็ไม่ลังเล" แชงคลีย์ประกาศ "หลายคนอาจคิดว่าผมตัดสินใจเร็ว ไม่ใคร่ครวญให้ดี แต่ความจริงผมคิดดีแล้ว และผมจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ"
การประกาศรีไทร์ของแชงคลีย์ สร้างความสั่นสะเทือนให้ประชาชนชาวเมืองลิเวอร์พูล ข่าวกระจายไปตามวิทยุ และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว
หน้าหนึ่งของลิเวอร์พูล เอ็คโค่ พาดหัวว่า
Soccer Bombshell
Shankly Retires
ช็อกโลกลูกหนัง
แชงคลีย์ รีไทร์
ความยุ่งยากในเรื่องนี้อยู่ที่ มันกะทันหันมาก ลิเวอร์พูลไม่มีเวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย
ปีเตอร์ โรบินสัน เลขาฯของทีม ยอมรับว่า ช่วงที่แชงคลีย์ลาออก มันคือช่วงวิกฤติของสโมสร ทีมจะอยู่หรือไป ขึ้นอยู่กับการเดินเกมของผู้บริหารต่อจากนี้
หลายๆทีม พอเสียผู้จัดการทีมคนเก่งไป ก็จมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับฟุตบอลอังกฤษอยู่แล้ว
อย่างลีดส์ ยูไนเต็ด มีผู้จัดการทีมฝีมือดี ดอน เรวี่ส์ คุมทัพ พอได้แชมป์ในซีซั่น 1973-74 เรวี่ ลาออกไปคุมทีมชาติอังกฤษ
พอไม่มีเรวี่ ลีดส์ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย ในช่วงเกือบ 20 ปีต่อมา
ดังนั้น การจากไปของแชงคลีย์ ส่งผลให้ลิเวอร์พูลปั่นป่วนไม่น้อย
ปัญหาใหญ่สุด คือไม่มีใครกล้ามารับงานผู้จัดการทีม ใครจะกล้าสานต่อบารมีของแชงคลีย์ล่ะ เพราะมันต้องโดนเปรียบเทียบกันอยู่แล้ว
สโมสรทำการทาบทามคนในอย่างบ็อบ เพสลีย์ ให้มารับงานเป็นผู้จัดการทีมแทน เพราะเอาจริงๆเพสลีย์ ซึ่งเป็นผู้ช่วย ก็รู้กระบวนการทำงานทั้งหมดอยู่แล้ว ทุกอย่างจะได้ไม่เปลี่ยนแปลงมาก
"ครั้งแรกเขาปฏิเสธ บ๊อบไม่กล้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม" โรบินสันเล่า
สุดท้ายผู้บริหารจึงต้องรุมอ้อนวอน แกมบังคับ จนบ็อบ เพสลีย์ ตัดสินใจว่าขอเวลาไปพิจารณาดีๆอีกครั้งก่อน
จริงๆ ก็ไม่มีใครคิดหรอกว่าเพสลีย์จะเทียบเคียงได้กับแชงคลีย์ รูโหว่ ที่แชงคลีย์ทิ้งเอาไว้มันใหญ่โตมากๆ แต่ที่สโมสรอยากได้เพสลีย์ นั่นเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
คือแชงคลีย์เป็นคนขยัน และพร้อมทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ไม่ใช่แค่คุมซ้อม และวางแผนการเล่นเท่านั้น แต่เขา Scout ฟอร์มคู่แข่ง เจรจาซื้อขายนักเตะกับทีมอื่น และ จัดการเรื่องสัญญากับผู้เล่นในทีม
แชงคลีย์เป็นผู้จัดการทีมที่ครบเครื่องแบบ All-in-one ดังนั้น เมื่อไม่มีเขาสักคน ลิเวอร์พูลจึงต้องมีปัญหาให้แก้เรื่องแล้วเรื่องเล่า ไม่หยุดหย่อน
หลังจากที่บ๊อบ เพสลีย์ ถูกขอร้อง เขาเอาเรื่องนี้เก็บไปคิดอยู่นาน
"ถ้าผมรับตำแหน่ง ผมต้องโดนเปรียบเทียบแน่" เพสลีย์เผยความในใจ "บุคลิกของบิลล์ ร่าเริง เปิดเผย แถมสถิติทุกอย่างของเขายังสวยงามเหลือเกิน"
ไม่เพียงแค่เรื่อง การโดนเปรียบเทียบ แต่ถ้าเพสลีย์รับงานตอนนี้ มีสิ่งที่เขาต้องแก้ปัญหาเยอะ
อย่างเช่นเรื่องกัปตันทีม โดยลิเวอร์พูลต้องหากัปตันทีมคนใหม่แทนที่ทอมมี่ สมิธ ซึ่งแชงคลีย์ก็ยังไม่ได้ตั้งเอาไว้ ว่าใครจะก้าวมารับตำแหน่งคนใหม่
ขณะที่เรื่องการซื้อขายผู้เล่นก็สำคัญ เพราะเอียน คัลลาแกน ก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคริส ลอว์เลอร์ ก็ฟอร์มตกไปเยอะมาก ได้เวลาที่ต้องหาตัวทดแทนแล้ว
เพสลีย์ ที่ทำหน้าที่ในสนามซ้อมเป็นหลัก เมื่อต้องมาจัดการเรื่องอื่นๆด้วยพร้อมๆกัน เขาจะทำได้ดีจริงๆหรอ?
แล้วเรื่องความสัมพันธ์กับนักเตะล่ะ ปกติทุกคนเรียกเขาว่า "บ๊อบ" มาตลอด แล้วถ้าให้ต้องเปลี่ยนเป็น "บอส" ทุกคนจะโอเคหรอ แล้วจะให้ความเคารพเขาเพิ่มมากขึ้นไหม
มีเรื่องให้เพสลีย์คิดเพียบเลยจริงๆ
1
แต่ด้วยการให้กำลังใจจากครอบครัว โดยเฉพาะ ภรรยาเจสซี่ ทำให้ บ๊อบ เพสลีย์ ตัดสินใจขอลองสู้ดูสักตั้ง เขาจะรับหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ แม้ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
26 กรกฎาคม 1974 สโมสรลิเวอร์พูล แต่งตั้งเพสลีย์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
สุดท้ายแม้จะสำคัญแค่ไหน แต่เมื่อแชงคลีย์ ขอยุติบทบาทแล้ว ชีวิตของทุกคนก็ต้องเดินต่อไป ลิเวอร์พูลต้องค่อยๆกลับมานับหนึ่งกันใหม่ ภายใต้บ๊อบ เพสลีย์
ทางฝั่งของ บิล แชงคลีย์ พอรีไทร์ใหม่ๆ เขาก็มีความสุขกับชีวิต คือการนอนสงบๆอยู่ในบ้าน ตัดหญ้า ทำสวน และให้เวลากับภรรยา
จากเดิมที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตกับตัวเองเลย มาวันนี้เขาได้อยู่เงียบๆ นั่งดูหนังมาเฟีย ซึ่งถ้าตอนเป็นผู้จัดการทีม คงไม่มีเวลา 2-3 ชั่วโมง มากับการนั่งหน้าจอทีวีแน่ๆ
ปัญหาคือ พอรีไทร์ได้ 6 สัปดาห์ แชงคลีย์รู้แล้วว่าตัวเองตัดสินใจผิด เขาคิดถึงฟุตบอลเหลือเกิน
ตลอดชีวิตของเขา ไม่เคยห่างจากฟุตบอลสักวินาที เขามีชีวิตอยู่เพื่อมัน
ถึงตรงนี้ แชงคลีย์ตัดสินใจได้ว่า เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะสายเกินไป
แชงคลีย์ โทรหา จอห์น สมิธ ประธานบริหารบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย วันต่อมาทั้ง 2 คน นัดเจอกันที่ห้องผู้บริหารในแอนฟิลด์
จอห์น สมิธ สงสัยว่าที่แชงคลีย์โทรมาหา มีอะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องของรายละเอียดต่างๆที่เคลียร์กันยังไม่เรียบร้อย อย่างเช่นพวกเงินโบนัสทั้งหลาย
หลังจากคุยกันได้ 10 นาที แชงคลีย์ เข้าประเด็นทันที
"ผมต้องการกลับมาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง"
"ผมทำเรื่องผิดพลาดไปแล้ว ผมน่าจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านั้น ตอนนั้นผมเหนื่อยล้าเกินไป เลยตัดสินใจแบบนั้นลงไป แต่ตอนนี้ผมกลับมาสดชื่นอีกครั้ง และพร้อมแล้ว สำหรับการเป็นผู้จัดการทีม ในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง"
สำหรับจอห์น สมิธ มันเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว แน่นอนว่าแชงคลีย์ คือตำนานของสโมสร แต่เส้นทางของทีมมันเดินหน้าไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนกลับมา
ลิเวอร์พูลประกาศอย่างเป็นทางการไปแล้ว ว่าจะแต่งตั้งเพสลีย์ ทุกคนพยายามแก้ปัญหาที่แชงคลีย์ทิ้งรอยโหว่เอาไว้
มันไม่ง่ายเหมือนที่แชงคลีย์คิด มันเป็นเรื่องความเชื่อมั่นต่อสายตาคนทั้งโลก เขาจะบริหารทีมอย่างไรล่ะ ถ้ายังกลับไปกลับมา เหมือนเด็กขายของ
"เรื่องนั้น มันยากมากๆบิลล์" จอห์น สมิธ ตอบ "ตอนนี้บ็อบเป็นผู้จัดการทีมอยู่ และเราคงไม่สามารถไปยึดตำแหน่งเขามาให้นายได้"
"อย่าลืมว่านายเอง ที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรอ"
คือตอนที่แชงคลีย์ ตัดสินใจลาออกครั้งแรก ทุกคนในทีมเหนี่ยวรั้งเขาสุดชีวิตเพื่อให้อยู่ต่อ แต่วันนั้นแชงคลีย์ไม่เปลี่ยนใจ แล้วจะกลับมาตอนที่ทุกอย่างมันเดินหน้าไปหมดแล้ว มันจะทำได้หรอ?
สุดท้ายคำขอของแชงคลีย์ จึงโดนปฏิเสธ เขาไม่สามารถกลับไปเป็นผู้จัดการทีมได้อีกครั้ง
แชงคลีย์นั้นมีความรู้ ความสามารถ อย่างมากมายก็จริง แต่เขาคือโลโก้ของลิเวอร์พูล แทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะย้ายไปคุมสโมสรอื่น
ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล แชงคลีย์มีโอกาสคัมแบ็ก ถ้าเพสลีย์ทำทีมตกต่ำ ถึงตรงนั้น ผู้บริหารอาจใช้เหตุผลนี้อ้างได้ในการปลดเพสลีย์
แต่ปัญหาคือภายใต้เพสลีย์ ทีมหงส์แดงกลับยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสโมสรก้าวไปถึงแชมป์ยุโรปสมัยแรกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่แชงคลีย์ ก็ยังไม่เคยทำได้
เพสลีย์ กลายเป็น Untouchable คนต่อไป เขาไม่มีทางโดนปลดจากสโมสรได้
นั่นแปลว่า เส้นทางอาชีพ ของบิลล์ แชงคลีย์ ยุติลงเพียงแค่นี้ เขาไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว
หลังจากเขาลาออก ในปี 1974 แชงคลีย์ไม่เคยได้กลับไปทำงานเกี่ยวกับฟุตบอลอีกเลย ตราบจนเขาเสียชีวิตในปี 1981
อาณาจักรความยิ่งใหญ่ของเขา ยุติลงเพียงแค่การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เพียงครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะคบกับใคร สิ่งที่ผู้เขียน จะย้ำเสมอกับอีกฝ่าย คือ เราสองคน จะบอกเลิกกันได้แค่ทีเดียวนะ
มันแปลว่า ระหว่างเราจะไม่มีการพูดบอกเลิกกันเล่นๆ เพราะการจะตัดความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าเลิกกันแล้ว 1 ครั้ง จะไม่มีหวนคัมแบ็กกลับมาแน่นอน
จบแล้วคือจบ
ถ้าหากทะเลาะ ไม่พอใจกันแรงแค่ไหน ก็ห่างกันสักพักได้ ไม่คุยกัน 2-3 วันได้ แต่เราจะไม่พูดคำว่า "ขอเลิก" กันเด็ดขาด จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่า อยากจะเลิกจริงๆ
เพราะความสัมพันธ์ มันไม่ใช่สวิตช์ไฟ ที่เดี๋ยวเปิด เดี๋ยวปิดได้ ถ้าคิดจะเลิกแล้ว ก็แยกทางกันไป ต่างคนต่างไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเลย
ดังนั้นก่อนจะทำอะไรต้องคิดให้เยอะ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความรู้สึก เพราะเมื่อตัดสินใจไปแล้ว มันก็อาจจะจบแค่ตรงนั้น
ของบางอย่างในโลกนี้ คุณตัดสินใจได้แค่ครั้งเดียว
#SHANKLY
โฆษณา