2 เม.ย. 2019 เวลา 02:16 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
มนุษย์จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อีกศตวรรษหรือไม่⁉️
ในท่ามกลางภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก 🔥🌎☄️
ภัยพิบัติล้างโลกไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เคยเลยเกิดมาแล้วเมื่อ 66 ล้านปีก่อน
มนุษย์เรามีแนวโน้มจะเผชิญกับกาลอวสานเช่นเดียวกับไดโนเสาร์หรือนกโดโดหรือไม่ นี่คือถามที่ใครหลายคนสงสัยใคร่รู้
ปัจจุบัน เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับมหันตภัยร้ายนานับประการที่คุกคามการดำรงอยู่ของเราบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาด หรือแม้แต่การที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์อาจพุ่งชนโลก
1
ในบทความนี้ เดวิด เอ็ดมันด์ส นักปรัชญาและนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง จะพูดคุยกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ที่คุกคามโลก และหาว่าเราจะสามารถแก้ไข หรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้หรือไม่ ตลอดจนตอบคำถามสำคัญว่า มนุษย์จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อีกหนึ่งร้อยปีหรือไม่
"ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์" คืออะไร
หากสัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์มาต่อเนื่องนับแต่โบราณกาล เหตุใดมนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์จะมีจุดจบแบบเดียวกันบ้าง
ดร.อันเดิร์ช แซนด์แบร์ย นักวิจัยจากสถาบันฟิวเจอร์ออฟไลฟ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า "ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์หมายถึงภัยคุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติหรือลูกหลานของพวกเรา"
จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 20 มนุษย์เคยคิดพวกเราอยู่ในโลกที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน
เรื่องน่าตกใจก็คือ ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์ มีมากมายและหลากหลายประเภท ดังต่อไปนี้ :
ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก
การศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ บ่งชี้ว่าโลกเผชิญกับเหตุอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนบ่อยครั้งขึ้น ตลอดช่วงเวลาเกือบ 300 ล้านปีที่ผ่านมา
ก่อนช่วงทศวรรษที่ 1980 เราไม่เคยคิดว่าโลกจะต้องเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่อย่างการถูกพุ่งชนโดยหินจากนอกโลก
แต่นักวิทยาศาสตร์สองพ่อลูก คือ ลูอีส และวอลเตอร์ อัลวาเรซ ได้เปลี่ยนความคิดดังกล่าวไปโดยสิ้นเชิงเมื่อพวกเขาเผยแพร่สมมติฐานว่าไดโนเสาร์ต้องสูญพันธุ์ลงจากเหตุดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก
สมมติฐานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนและเห็นด้วยมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้โดยคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการค้นพบแอ่งหลุมยักษ์ที่บริเวณคาบสมุทรยูคาตันในเม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม บรรดาคนหัวแข็งในกลุ่มผู้สนใจเรื่องความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์ ระบุว่า โอกาสที่โลกจะถึงกาลอวสานจากเหตุดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริง เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์เอง
ประชากรล้นโลก ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
"การยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีความเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อประชากรโลกหยุดเพิ่มขึ้น"
"คนส่วนใหญ่ยอมรับถึงความเสี่ยงที่เกิดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ดร.คาริน คุห์ลมาน นักวิจัยจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (ยูซีแอล) กล่าว
"แต่มันกลับไม่ค่อยจะเป็นข่าวใหญ่ เช่นเดียวกับเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังร่อยหรอลง เพราะมันเป็นประเด็นที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะไม่คิดถึงมัน"
"แต่ก็เหมือนกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งทำให้มนุษยชาติต้องตายก่อนเวลาอันควร ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน" ดร.คุห์ลมาน กล่าว และว่า "มันเป็นความผิดของมนุษย์อย่างเรา"
"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นแง่มุมหนึ่งของปัญหาประชากรล้นโลก รวมทั้งปัญหาทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กัน โดยในขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติกำลังจะหมดลง เรากลับใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นทั้งที่ความจริงเรากำลังจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใช้ และยิ่งเป็นทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลวร้ายลงไปอีก" ดร.คุห์ลมาน กล่าว
เธอยังระบุด้วยกว่า การยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีความเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อประชากรโลกไม่เพิ่มขึ้น
ความหลากหลายทางชีวภาพถูกทำลาย
ประชากรผึ้งที่ลดลงกำลังสร้างความวิตกให้นักวิทยาศาสตร์
มนุษย์เรามีชีวิตอยู่โดยที่มองว่าการฆ่าสัตว์ป่าเป็นเพียงเรื่อง "น่าสงสาร"
แต่งานวิจัยบางชิ้นพบหลักฐานบ่งชี้ว่า ภายในกลางศตวรรษนี้ เราจะไม่สามารถจับปลาในทะเลได้ในระดับที่เพียงพอสำหรับการประมงเชิงพาณิชย์อีกต่อไป นี่หมายความว่าเราจะไม่มีปลาให้ซื้อได้ตามร้านทั่วไป แน่นอนว่าจะไม่มีอาหารเมนูปลาให้เราได้กินกันอีกต่อไป
แมลงก็เป็นสัตว์อีกชนิดที่เริ่มหายไปอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับนกบางชนิดที่หายไปจากธรรมชาติเพราะแมลงที่พวกมันกินเป็นอาหารหมดไปจากธรรมชาติ
ดร.คุห์ลมาน บอกว่า เรายังไม่รู้ว่าผลกระทบจากการที่ความหลากหลายทางชีวภาพถูกทำลายจะเป็นเช่นไร แต่ก็แน่ใจได้ว่ามันจะส่งผลร้ายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา
โรคระบาด
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และเชื้อกลายพันธุ์เป็นความท้าทายที่นักวิทยาศาสตร์ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง
ดร.ลลิตา สุนดาราม จากศูนย์ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์ในเมืองเคมบริดจ์ กำลังศึกษาและประเมินความเสี่ยงทางชีวภาพ
เธอกล่าวถึงการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อปี 1918 ซึ่งประเมินกันว่าราวครึ่งหนึ่งของประชากรโลกในยุคนั้นติดเชื้อชนิดนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไประหว่าง 50-100 ล้านคน
การแพร่ระบาดของโรคมักเกิดขึ้นเมื่อมีการอพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ ผู้คนกลับจากสงครามและอาศัยอยู่รวมกันในย่านแออัด
1
ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันเราจะสามารถพัฒนาวัคซีนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น แต่โลกในยุคโลกาภิวัตน์ก็นำอันตรายมาด้วยเช่นกัน
ในช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนนั้น ผู้คนเดินทางด้วยรถไฟและเรือ แต่ในยุคปัจจุบันซึ่งผู้คนเดินทางได้สะดวกสบายทางเครื่องบินนั้น โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จึงสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่
ภัยคุกคามจากมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 1995 สมาชิกโอมชินริเคียวได้ก่อเหตุปล่อยแก๊สซารินโจมตีสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียว จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 12 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก จากนั้นยังพยายามก่อเหตุโจมตีด้วยไฮโดรเจนไซยาไนด์อีกหลายแห่งแต่ประสบความล้มเหลว
ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติที่คนเราก่อขึ้นส่วนใหญ่มาจากความไม่ตั้งใจ
แต่การที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าขึ้น ก็ทำให้เกิดความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่บุคคลผู้ไม่หวังดีจะก่อเหตุโจมตีที่สร้างความหายนะครั้งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น การเพาะเชื้อไวรัสในห้องแล็บโดยใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์
ดร.ฟิล ตอร์เรส จากสถาบันฟิวเจอร์ออฟไลฟ์ ระบุว่า หากมี "ปุ่มวันสิ้นโลก" อยู่จริง ก็คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะกดมัน ซึ่งคนพวกนี้อาจรวมถึงกลุ่มสุดโต่งทางศาสนาทื่เชื่อว่าพวกเราได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ทำลายล้างโลก เพื่อกอบกู้โลกไว้ ดังเช่นพวกสาวกลัทธิโอมชินริเคียว
ขณะเดียวกัน ดร.ตอร์เรส บอกว่าเราต่างเผชิญความเสี่ยงจากกลุ่มคนที่มีแรงจูงใจในการทำให้มนุษย์สูญสิ้นไปเพื่อสนองเหตุผลส่วนตัว เช่น พวกก่อเหตุกราดยิงคนไม่เลือกหน้า
คนกลุ่มนี้อาจแสดงความปรารถนาในการขจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หมดสิ้นไปด้วยน้ำมือของพวกเขา ไม่ว่าจะโดยเปิดเผย หรือเป็นการเขียนในบันทึกส่วนตัว
แต่คนพวกนี้มีเท่าใดกันแน่ ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่า ปัจจุบันมีผู้มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมและผู้มีอาการทางจิตอยู่ประมาณ 300 ล้านคนทั่วโลก และหลายคนในจำนวนนี้อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามขึ้นได้
สงครามนิวเคลียร์
สงครามนิวเคลียร์อาจไม่สามารถฆ่าคนทั้งโลกได้ แต่ผลกระทบที่ตามอาจทำได้
ดร.เซท บอม จาก Global Catastrophic Risk Institute ซึ่งเป็นสถาบัน ศึกษาและวิจัยเรื่องความเสี่ยงมหันตภัยโลก บอกว่า การเผาไหม้ของเมืองที่ถูกระเบิดนิวเคลียร์ถล่มจะทำให้เกิดฝุ่นที่แพร่กระจายไปในเมฆ และชั้นบรรยากาศโลก
ฝุ่นที่ว่านี้อาจตกค้างอยู่ได้นานหลายสิบปี และปิดกั้นแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก
การสูญพันธุ์ของมนุษย์จากสงครามนิวเคลียร์อาจมาจากผลโดยรวมของความเสียหายที่เกิดขึ้นทันทีจากระเบิดนิวเคลียร์ ความชะงักงันทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโลก
ปัญญาประดิษฐ์
เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์เราอาจสูญเสียการควบคุมเอไออย่างสิ้นเชิง
ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาในหลายรูปแบบ เช่น ความเสี่ยงที่อัลกอริทึมอัตโนมัติอาจทำให้ระบบของตลาดหุ้นโลกล่มโดยบังเอิญ จนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง หรือการที่มนุษย์เราอาจสูญเสียการควบคุมเอไออย่างสิ้นเชิง
1
หนึ่งตัวอย่างที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกำลังวิตกกังวลก็คือ เทคโนโลยีการตัดต่อวิดีโออันแนบเนียนที่เรียกว่า Deepfake ซึ่งใช้ภาพวิดีโอของบุคคลมีชื่อเสียงมาตัดต่อให้ดูเหมือนกำลังทำหรือพูดอะไรก็ตามที่ผู้ผลิตต้องการ
คนร้ายอาจผลิตวิดีโอของผู้นำโลกคนหนึ่งกำลังข่มขู่ผู้นำโลกอีกคน จนอาจนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ 2 ประเทศก็เป็นได้
ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีความก้าวหน้าไปมาก และตรวจจับได้ยากขึ้นทุกขณะ
เราจะลดความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์ได้อย่างไร
อนาคตโลกอยู่ในมือของพวกเราทุกคน
อารยธรรมของเรากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นั่นขึ้นอยู่กับภัยที่คุกคาม
สิ่งสำคัญที่เราต้องตระหนักก็คือ อนาคตของเราไม่ใช่เรื่องตายตัวหรือคงทนถาวร ดังนั้นเราจึงยังสามารถทำอะไรได้หลายอย่างในตอนนี้ เพื่อช่วยให้เผ่าพันธุ์ของเราสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป
ดร.แซนด์แบร์ย กำลังทำงานเพื่อให้เครื่องจักรในอนาคตอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์
ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ กำลังหาวิธีการทางวิศวกรรมธรณี เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการใส่ฝุ่นละอองเข้าไปในชั้นบรรยากาศโลก
หรือหาวิธีเอาชีวิตรอดจาก "ฤดูหนาวนิวเคลียร์" (nuclear winter) ซึ่งหมายถึงภาวะที่โลกหนาวเย็นอย่างรุนแรงหลังจากการยิงระเบิดนิวเคลียร์ถล่มกัน ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองที่ชั้นบรรยากาศโลก จนแสงอาทิตย์ส่องลงมาไม่ถึงพื้นผิวโลกซึ่งจะทำพืชทั่วไปไม่สามารถสังเคราะห์แสงเพื่อเจริญเติบโตได้ และทำให้มนุษย์ต้องพึ่งพาอาหารจากเห็ดราแทน
ส่วน ดร.คุห์ลมาน มีความเห็นว่า สิ่งสำคัญที่เราต้องแก้ไขเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติก็คือ ต้องหยุดการเพิ่มประชากรโลก "เราต้องเปลี่ยนค่านิยมสังคมในเรื่องเกี่ยวกับขนาดครอบครัว โดยเลิกมีความคิดว่าเราต่างมีสิทธิ์ที่จะมีลูกได้หลายคนและบริโภคทรัพยากรต่าง ๆ ได้มากเท่าที่เราต้องการ"
นี่คือสิ่งที่เราทุกคนสามารถช่วยกันได้เพื่อป้องกันหายนะที่จะเกิดขึ้นกับโลกและเผ่าพันธุ์ของเรา
มนุษย์มักไม่ค่อยมองการณ์ไกล และขนบธรรมเนียมต่าง ๆ มักไม่ปรับไปตามผลประโยชน์ของคนรุ่นต่อ ๆ ไป
แต่ ดร.คุห์ลมาน บอกว่า หากศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ศตวรรษสุดท้ายของพวกเรา เราก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของมนุษย์อย่างจริงจังมากกว่านี้
โฆษณา