2 เม.ย. 2019 เวลา 16:56 • ประวัติศาสตร์
10 งานทดลองมนุษย์ที่โหดที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
1
“การทดลองอดนอน” สุดโหดของรัสเซียเมื่อปี 1940 (บางก็ว่าเรื่องจริง บางก็ว่าเป็นแค่เรื่องแต่ง)
สวัสดีครับทุกๆ ท่านสำหรับใครที่ได้อ่านคุกที่โหดที่สุดแล้ว จนหลายคนต้องกลัว วันนี้ผมขอนำเสนอการทดลอง!? ที่ไม่ได้ทดลองกับสัตว์ หนู แต่เป็นมนุษย์ ซึ่งหลายเรื่องนั้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมา เรื่องราวอย่างไรนั้น แล้วสมมติถ้าเราเป็นคนที่โดนทดลองละ คงรู้สึกไม่ดีแน่ๆเลย ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไรนะ.. เอาละครับไปชมกันเลย...
10. Stanford Prison Experiment :
ผู้คุมกับคนคุก
การทดสอบจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด เป็นการจำลองสถานการณ์ในคุก โดยแบ่งนักศึกษาอาสาสมัครจำนวน 20 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม ให้รับบทบาทสมมุติที่แตกต่างกัน
กลุ่มแรกเป็นผู้คุมนักโทษ และกลุ่มที่สองเป็นนักโทษ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะถูกคัดออก และชวดเงินค่าจ้างไปโดยปริยาย กลุ่มผู้ถูกทดลองทั้ง 2 กลุ่มนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
1
ซึ่งก่อนงานวิจัยก็คุยเล่นเหมือนเพื่อนกันปกติดี เมื่อถึงคราวทดสอบ ทุกคนสวมบทบทได้ราบรื่น แต่มันคงจะดีถ้าราบรื่นในแบบปกติ แต่นี่ราบรื่นแบบคนคุกกันเลยทีเดียว ทำให้งานทดลองต้องหยุดลงภายในเวลาเพียง 6 วัน เหตุเพราะอาสาสมัครอินกับบทเกิ๊น จนใช้ความรุนแรงที่อาจทำให้เกิดอันตรายโดยไม่สามารถควบคุมได้ และหนึ่งในอาสาสมัครที่รับบทผู้คุมก็กลายเป็นคนนิสัย Bad แบบสุดๆ ถึงขนาดซ้อมนักโทษจำลองจนช้ำเลยทีเดียว... สงสัยคงได้ไปคุกจริงๆ แทนคุกจำลองซะแล้วม้าง
9. The Monster Study :
การศึกษาสัตว์ประหลาด
งานทดลองการพูดติดอ่างในเด็กของมหาวิทยาลัยได้ทดลองดำเนินการในวันที่ 22 เด็กกำพร้าในดาเวนพอร์ตไอโอวาในปี 1939 อายุ 5-15 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกถูกทดลองด้วยคำพูดเยินยอ ชมเชย สรรเสริญ ส่วนอีกกลุ่มได้ฟังแต่คำหยาบ ถากถาง ทับถม จากการทดลองพบว่าเด็กที่ฟังแต่คำชมเชยสามารถพูดจาคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด จากต่างอีกกลุ่มกลายเป็นเด็กเก็บกด มีปัญหา พูดจาติดขัด และมีผลต่อการใช้ภาษาไประยะหนึ่ง
ทำให้สังคมประณามจนมหาวิทยาลัยต้องออกมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ และจ่ายค่าเสียหายให้กับเด็ก 6 คน ที่ถูกทดลองด้วยคำพูดหยาบๆ นั้น ไม่รู้ว่างานนี้จะคุ้มกันหรือเปล่านะน้องหนู..
8. Project 4.1 : ปล่อยเกาะมรณะ
งานทดลองการศึกษาทางการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา วิธีการคือ นำผู้ถูกทดลองไปปล่อยบนเกาะมาร์แชล (Marshalls) เกาะที่ถูกสารกัมมันตภาพรังสีจากเหตุการณ์
“แคสเซิลบราโว” (Castle Bravo) แคสเซิลบราโวมีพลังงานที่มากกว่าประมาณ 1,200 เท่าของลูกระเบิดอะตอมที่ทิ้งในฮิโรชิมาและนางาซากิ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น เมฆของรังสีทำให้เกิดการปนเปื้อนปกคลุมพื้นที่มากกว่า 7พันตารางไมล์รอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งหมู่เกาะเล็ก ๆ เช่น Rongerik และ Rongelap และ Utirik ผู้คนบนเกาะต้องถูกอพยพออก แต่ในลูกหลานในรุ่นต่อมาได้รับผลกระทบ ชาวบ้านท้องถิ่นได้รับความทรมานจากความไม่สมบูรณ์ทางร่างกายตั้งแต่เกิด เรือประมงของญี่ปุ่นชื่อ Daigo Fukuryu Maru ได้รับการสัมผัสปนเปื้อนฝุ่นกัมมันตรังสี เป็นสาเหตุให้ลูกเรือทั้งหมดเกิดการเจ็บป่วยมีผู้เสียชีวิตไปหนึ่งราย ปลา น้ำ พื้นดิน เกิดการปนเปื้อนทางกัมมันตรังสีอย่างรุนแรง ทำให้แคสเซิลบราโวเป็นหนึ่งในอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุด
2
เมฆรูปเห็ดของแคสเซิลบราโว
การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1954 เกิดผิดพลาดเพราะการระเบิดแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แถมเกาะนี้ยังเต็มไปด้วยสารกัมมันตภาพรังสี ผู้ถูกทดลองจะได้รับสารปริมาณหนึ่งๆ อย่างต่อเนื่อง จนครบระยะเวลาทดลองและเริ่มสังเกตอาการ โดยเริ่มแรกยังคงเดินเหินได้ตามปกติ สุขภาพแข็งแรง เฮฮาปาร์ตี้ตามประสา แต่ไม่กี่ปีต่อมา ผู้ถูกทดลองได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตภาพรังสี ทั้งแท้งลูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ และยังส่งผลไปถึงลูกที่เกิดมาผิดปกติอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่างานทดลองนี้ก็ถูกประณามไปตามระเบียบ
7. Project MK ULTRA : ยาควบคุมมนุษย์
โครงการเอ็มเคอัลทรา หรือ CIA mind-control research program งานทดลองการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ของ CIA (Central Intelligence Agencies) เพื่อรับมือกับประเทศที่เป็นศัตรูต่ออเมริกา ที่กลัวว่าประเทศเหล่านั้นจะเล่นของใส่ เลยต้องหาทางกันไว้ก่อนที่จะโดนของ ทดลองด้วยการนำนักโทษยาเสพติดมาฉีดยา เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง
มีคำ 3 คำที่พวกเขาโดนตอกฝังในจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นคือ ไม่เจ็บ-ไม่กลัว-ไม่ลังเล
ต่อมาก็ทดลองฉีดยาหลอนประสาท LSD (Lysergic acid diethylamide) คราวนี้มีผู้ถูกทดลองทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงยอดอ่อน ทั้งคนในประเทศและชาวต่างชาติ แต่รัฐบาลก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ท้ำ... ไม่ได้ทำ! จากนั้นในปี 1973 CIA ถูกสั่งให้ทำลายเอกสารทั้งหมด และไฟล์โครงการนี้ก็หายวับ จับคนทำก็ไม่ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ
6. The Aversion Project : โปรเจ็กต์เปลี่ยนเพศ
การทดลองของหน่วยงานในแอฟริกาใต้ เหตุเพราะการแบ่งแยกสีผิว งานนี้คนผิวขาวเลยโดนล้างแค้น ด้วยการบังคับทหารผิวขาวที่เป็นรักร่วมเพศ ทั้งเกย์และเลสเบี้ยน มาเปลี่ยนเพศกันซะเลย โดยใช้สารเคมีที่ทำให้หมดอารมณ์ทางเพศและเป็นหมัน ช็อตไฟฟ้า เปลี่ยนฮอร์โมน และอีกสารพัดวิธี ซึ่งภายหลัง คนที่ถูกทดลองก็กลายเป็นคนมีอาการทางจิต ติดยา และเกลียดแม้กระทั่งอาการเบี่ยงเบนทางเพศของตัวเอง 9hoเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากคนดำเกลียดขาว และคนขาวก็เกลียดคนดำแท้ๆ เอาเป็นว่ารักๆ กันไว้ดีกว่าเนอะ
5. North Korean Experimentation : ยัดกะหล่ำปลี+รมก๊าซ
มันคือการทดลองในค่ายกักกันของเกาหลีเหนือสุดโหด ที่ใกล้เคียงการทดลองของนาซีและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนักโทษที่หลบหนีออกมาได้เล่าว่า ผู้หญิงที่สุขภาพดีจะถูกคัดเลือกออกมา และบังคับให้กินกะหล่ำปลีที่ปนเปื้อนสารพิษจำนวนมาก หลังจากนั้นพวกเขาจะส่งเสียงร้อง อาเจียนเป็นเลือด ทั้งทางปากและทวารหนัก และตายลงไปในที่สุด
นอกจากนั้นยังมีการทดลองฉีดสารพิษเข้าไปในห้องรมก๊าซ และดูผลการทดลองผ่านกระจก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รัฐบาลเกาหลีเหนือก็ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา บอกว่าฉันไม่เคยทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก จบป่ะ!
2
4. Poison laboratory of the Soviets : ทดลองพิษล่องหน
การทดลองวิจัยเกี่ยวกับสารพิษของหน่วยงานตำรวจลับในโซเวียต พวกเขาได้ทำการทดลองกับนักโทษ ด้วยการบังคับให้ลิ้มรสสารพิษ ทั้งสูดทั้งกิน ซึ่งสารพิษที่นำมาทดลองนั้นมีหลากหลายชนิด
คนที่โดนเข้าไปจะมีร่างกายที่เปลี่ยนไป และกลับบ้านเก่าภายใน 15 นาที โดยเป้าหมายสูงสุดของการทดลองชิ้นนี้ ก็เพื่อเพื่อจะหาสารพิษชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และจะได้นำมาใช้จู่โจมฝ่ายตรงข้ามได้ในวันข้างหน้านั่นเอง
3. Tuskegee Syphilis Study : ทดลองซิฟิลิส
การทดลองซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกาในประเทศตุรกี เป็นการทดลองยาวนานกว่า 40 ปี เริ่มด้วยการฉีดยาให้กับผู้ทดลองที่เป็นชาวผิวดำ โดยไม่บอกว่าเป็นยารักษาโรคอะไร และทำเพื่ออะไร แน่นอนว่า ชาวบ้านก็เข้าใจผิดว่าตัวเองได้รับการรักษาจากหมอ แต่ใครจะรู้ว่ามันคือการทดลองซิฟิลิส หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้ออกมาประณามว่า
มันเป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ ทั้งยังเป็นการทดลองที่เสียเปล่าและไม่เป็นธรรม เพราะเลือกทดลองเฉพาะกับชาวผิวดำ แถมยังอยู่ในพื้นที่ยากจนอีก จนในที่สุดประธานาธิบดีต้องออกมาแถลงขอโทษต่อผู้ถูกทดลอง (ที่ยังมีชีวิตอยู่) ชดใช้ความเสียหายให้ และออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act)
2. Unit 731 : หน่วยปฏิบัติการ 731
การทดลองอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอาวุธชีวภาพไว้ใช้ในสงคราม เริ่มที่หน่วยปฏิบัติการ 731 ถูกส่งมาทำภารกิจ โดยเลือกเมืองฮาร์บิน ประเทศจีนเป็นเป้าหมาย แล้วอย่าคิดว่าพี่แกจะเดินเข้ามาแบบโต้งๆ นะ งานนี้ต้องใช้วิชานินจาแปลงตัวกันซักหน่อย เพราะหน่วยนี้มาในนาม ”หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นก็จับชาวจีนหรือรัสเซียมาเป็นเหยื่อทดลอง ซึ่งมีสารพัดวิธี ทั้งผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, ใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงในอาหารและน้ำ, บังคับให้ผู้หญิงร่วมเพศกับผู้ชายที่เป็นโรคซิฟิลิส เพื่อศึกษาเชื้อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุด, จับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง แล้วอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างกายระเบิด, จับเปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิติดลบ, ตัดอวัยวะออก เช่น กระเพาะ แล้วนำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหาร เพื่อดูว่าถ้าไม่มีกระเพาะคนจะอยู่ได้หรือเปล่า และในท้ายที่สุด ซากศพของผู้ถูกทดลองจะถูกเก็บกวาด ด้วยการโยนเข้าเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการนั่นเอง!
1. NaziExperiments : ค่ายทดลองของนาซี
การทดลองทางการแพทย์ของเยอรมนีในค่ายกักกันทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะค่ายเอาชวิตซ์ (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) เพื่อคิดค้นยา และรักษาทหารเยอรมันจากโรคและอันตรายในสงคราม ซึ่งเหยื่อเป็นนักโทษชาวยิวและชาวรัสเซีย ได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลังทหารนาซี โดยแพทย์ผู้ทำการทดลองไม่ได้ถูกข่มขู่ แต่ทำไปเพราะอยากรู้ผลลัพธ์ในการทดลอง
โครงการนี้ได้ทำการทดลองหลายอย่าง เช่น
การทดลองเกี่ยวกับชีวิตคน กับ สภาพแรงกดอากาศต่างๆ
สร้างสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับพลัน (Decompression) ที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิง ความกดอากาศในห้องนักบินจะลดต่ำอย่างฉับพลัน โดยนักโทษผู้ถูกทดลอง จะถูกนำตัวไปยังห้องที่มีความกดอากาศต่ำและเฝ้าสังเกตการณ์, การนำเหยื่อที่ใส่ชุดนักบินไปแช่ในอ่างน้ำเย็นให้หนาวจนแข็ง แล้วให้ความอบอุ่นด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อศึกษาการทำให้นักบินอบอุ่นกรณีเครื่องบินตกกลางทะเล, การผ่าสมองออกเป็น 2 ซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ เพื่อตรวจสอบระบบการทำงานของประสาท, การตัดอวัยวะเพศโดยไม่ใช้ยาสลบ นอกจากนั้นยังมีการทดลองการรักษาบาดแผลที่เกิดในสนามรบ โดยทำให้นักโทษเกิดบาดแผล แล้วโรยเศษดิน หญ้า เหล็ก กระจก ซึ่งเป็นวัตถุที่อาจเจอสนามรบให้แผลอักเสบอย่างรุนแรง แล้วทดลองรักษาด้วยวิธีต่างๆ
5
การทดลองเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคผิดหนัว อย่างหนึ่ง ซึ่งในชีวิตจริงหายากสุดๆ ถ้าไม่อยู่ในสภาพที่โครตโสโครกจริงๆ
และก่อนที่สงครามโลกจะหยุดลงนั้น หลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทดลองก็ถูกทำลาย กลุ่มแพทย์ที่รอดชีวิตถูกจับในฐานอาชญากรสงคราม บางรายก็หนีไปต่างประเทศ และส่วนหนึ่งเปลี่ยนชื่อพรางตัวกลับเข้ามาทำงานในวงการแพทย์... หวังว่าคงไม่มีอยู่ในประเทศไทยหรอกนะ!
งานวิจัย หรืองานทดลอง ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ในการศึกษาพัฒนาเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์ แต่หากทดลองโดยขาดศีลธรรม
มันมีแต่จะเป็นการสร้างผลเสียต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น... ( ท่านใดที่สนใจเรื่องการทดลองอดนอนของรัสเซีย คอมเม้นกันมาได้เลยนะครับ 🙏 )
โฆษณา