7 เม.ย. 2019 เวลา 05:39 • ไลฟ์สไตล์
"ชีวิตที่คิดบวก" สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน!!
โดย : "ฌอน บูรณะหิรัญ"
ฌอนจากเด็กขี้อายที่ไม่ค่อยมีเพื่อน หนุ่มไทยนักคิดรุ่นใหม่ที่เติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา ฌอน บูรณะหิรัญ ผลักดันให้ตัวเองมองโลกของคนอื่นในความเป็นไปที่แท้จริงจากการเรียนในสายจิตวิทยา และข้ามผ่านมาสู่ชีวิตจริง กลายมาเป็นเพจสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้าน ให้เลือกมองบทเรียนที่ผิดพลาดและเดินต่อไปอย่างมีพลัง
ภาพ : Campus Star
(จุดเริ่มต้นชีวิตคิดบวก)
ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ทำให้ฌอนเลือกเรียนมหาวิทยาลัยในคณะจิตวิทยา เพื่อทำความเข้าใจคนอื่นให้มากยิ่งขึ้น จากบทเรียนแรกในห้องเรียน ที่ทำให้ค้นพบอีกเส้นทางทั้งการเป็นนักมวยและนักดนตรีเมื่อชีวิตพลิกผันได้เจอกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังชักชวนให้ไปทำเพลงที่ประเทศไทย การเดินทางมาเรียนรู้ชีวิตต่างวัฒนธรรมที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจึงเกิดขึ้น
(ที่มาเพจสร้างแรงบันดาลใจ Sean Buranahiran)
“ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ผมสร้างโอกาสให้ตัวเองอีกทาง คือไม่ชอบเรื่องเรียน ผมก็เรียนกลางวัน เลิกเรียนก็ไปต่อยมวย กลางคืนทำเพลง ผมไม่ได้เอาเวลาไปเที่ยว เพราะมีแต่คนบ่นว่าทำไมเราต้องเรียน ทำไมเราต้องไปมหา’ลัย แต่ถ้าจะบ่น เราต้องหาทางออกให้ตัวเอง ถ้าเรียนแล้วเห็นว่าเปลืองเวลา ต้องลองทำอะไรที่เป็นประโยชน์ที่มันต่อยอดอนาคตได้ อีกอย่างเด็กที่โน่นค่อนข้างจะเน้นการศึกษาด้วยตัวเอง เขาอยากพึ่งตัวเอง ไม่อยากพึ่งพาพ่อแม่ เขาจะภูมิใจถ้าได้ทำงานตอนอายุน้อยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ นั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ผมอยากตามความฝันจริงจัง
ก็มาอยู่เมืองไทยทำเพลงเกือบ 3 ปี หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ถ่ายละคร เล่นหนัง จนเป็นจุดเริ่มต้นให้ทำเพจ Sean Buranahiran ขึ้นมา ใช้เวลาว่างระหว่างพักกองให้เป็นประโยชน์ แล้วมันก็เป็นฟีดแบ็กที่ไม่ได้คาดหวัง จากคลิปแรก “ฌอนสอนชาย ให้เป็นแมน” ที่ประสบความสำเร็จทำให้เกิดคลิปอื่นๆ ตามมา ผมรู้สึกว่า เพจนี้มันทำให้คนเห็นชัดเจนว่าผมเป็นคนยังไง และผมก็ดึงดูดคนแบบนั้นเข้ามาในชีวิต เพื่อนๆ หรือคนรอบข้างที่มีทัศนคติที่ดี มีจิตใจดีหรือมีแฟนเพจเข้ามากอดแล้วร้องไห้ ว่าเราช่วยทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเป้าหมายที่อยากจะมีอิทธิพลกับชีวิตคนในทางที่ดีได้ประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้ คือต้องทำต่อไป ทำแล้วหาทางทำให้มันดีขึ้น ลึกขึ้น และมีจำนวนคนเยอะมากขึ้น”
(บทเรียนชีวิต เพิ่มพลังใจ)
อุปสรรคแรกคือตัวเอง
ช่วงแรกที่มาเมืองไทย สิ่งที่เป็นอุปสรรคแรกคือตัวเอง ที่ต้องเอาชนะใจตัวเอง เราอยากให้งานออกมาสมบูรณ์ อยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ก็อัดแล้วอัดอีก ไม่ยอมปล่อยมันสักที แต่คือไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเพอร์เฟ็กต์ ถ้าเราคิดแบบนั้น เราก็จะไม่ได้มีผลงานสักที ก็อยากจะฝากถึงน้องๆ ศิลปิน อย่าใช้เวลากับมันนานเกินไป ทำมันออกมาให้เร็วที่สุด ที่อเมริกาจะสอนว่า Speed over Quality ความเร็วยิ่งใหญ่กว่าคุณภาพ เพราะคุณภาพจะเป็นสิ่งที่คนอื่นตัดสินไม่ใช่คุณ ก็ทำให้ดี แล้วปล่อยมันไป ทำผลงานออกมาให้เร็วที่สุด แล้วคนอื่นจะตัดสินมันเองว่าดีหรือเปล่า ในโลกนี้ คนที่ชนะคือคนที่ทำผลงานให้ออกมาเร็วที่สุดได้
(เรียนรู้ชีวิตด้วยการสังเกต)
3 ปีที่ทำเพลง นอกจากการทำเพลง ผมจะขอเจ้าของค่ายว่าอยากจะไปประชุมกับเขาทุกที่ เพราะผมอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจด้วย และคนๆ นี้สอนให้ผมรู้จักคนมากขึ้น ผมเคยอ่านหนังสือ Mastery เขาบอกเวลาเราเริ่มไปที่ไหนใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ อย่าทำให้ตัวเองโดดเด่น สิ่งที่ต้องทำ คือ สังเกตทุกอย่าง สังเกตทุกคน ว่าใครกำลังประสบความสำเร็จ ใครกำลังล้มเหลว อำนาจอยู่ที่ใคร ข้อมูลทุกอย่างจะผ่านจากใคร ใครจะรู้ทุกอย่าง แล้วฝึกอย่างเดียว และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากที่สุด
ไม่จมอยู่กับความรู้สึกเฟลนาน
เวลาที่ผมออกไปพูดข้างนอก พูดบนเวที แล้วรู้สึกพูดไม่ดี ผมก็รู้สึกเฟลนะ แต่ผมจะไม่จมกับความรู้สึกเฟลนาน เพราะผมจะหาบทเรียนจากในนั้น ทุกครั้งที่มีใครรู้สึกไม่ดี ผมคิดว่าแค่สมองเรากำลังบอกตัวเองว่าอย่าทำอย่างนี้ ในความล้มเหลวมันมีบทเรียน คุณขาดแค่หนึ่งบทเรียนเท่านั้นที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ แล้วมันจะเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งที่ดีได้
(การฝึกฝนพัฒนาตัวเอง)
ผมจะคอยสังเกตชีวิตคนที่เขาประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา การต่อสู้ หรือธุรกิจ ดูว่าเขาคิดยังไง ทำไมเขาเป็นแบบนั้น ทำไมเขาถึงอยู่ได้นาน มันจะมีช่วงที่ผมฟัง แล้วช่วงที่ไม่ฟังเพื่อที่ให้สมองได้ย่อย อย่างเวลาผมอ่านหนังสือ มีคืนหนึ่งผมอ่านอยู่เล่มหนึ่ง ผมก็เขียนโน้ตไว้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้อ่านอีกเลย 3-4 วัน เพื่อที่จะพัก หลังจากนั้นค่อยเริ่มที่จะอ่านหนังสือหรือหาข้อมูลอื่นๆ ต่อไป
มุมมองการใช้ชีวิตในแบบฌอน
การใช้ชีวิตในแบบผมไม่ได้เหมาะกับทุกคน ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง ซามูไรที่เก่งที่สุดในโลก ชื่อ มูซาชิ พูดว่า มีหลายทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาแห่งความสำเร็จได้ แต่สำหรับผมทุกอย่างในชีวิตมันต้องเชื่อมโยงกัน เป้าหมายของผมอยากช่วยคน เพื่อนเราก็ต้องอยากช่วยคน วิธีที่เราช่วยเหลือคน อะไรที่ทำให้เราสนุก การได้อยู่กับแฟน อยู่กับเพื่อน คุยกันเฮฮา แล้วหลังจากนั้นก็คุยกันว่าเราจะช่วยเหลือคนยังไง ผมจะไม่แยกความสัมพันธ์เพื่อน แฟน กับ งาน งานทุกอย่างมันเชื่อมกันกับเป้าหมายของผม ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมทำงาน แต่รู้สึกว่าได้เล่น มีความสุขตลอด แล้วก็อยากให้คนอื่นๆ รู้สึกแบบนี้ด้วย
(ฝากข้อคิดถึงวัยรุ่นยุคใหม่)
“สำหรับการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่น เวลาเรามีความเครียด ก็เหมือน LOBSTER ที่ถ้ามันรู้สึกอึดอัดในเปลือกเก่า แล้วเครียด ก็จะไปใต้หินแล้วแอบถอดเปลือก ลอกคราบใหม่ ก็รู้สึกโอเคแล้ว สักพักจะเริ่มเครียดอึดอัด ต้องลอกคราบใหม่อีก ความเครียดเป็นสัญญาณให้เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะโตขึ้น ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยความบันเทิง ดูหนัง กินเหล้า เล่นยา เที่ยวกับเพื่อน มันเป็นการแก้ปัญหาให้ลืมได้เฉพาะช่วงนั้น ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นในระยะยาว เหมือน LOBSTER ที่รู้สึกอึดอัดก็ไปดูหนังกับเพื่อน ดูหนังจบกลับมาอึดอัดอีกที แต่มันเป็นสัญญาณให้เราต้องลองปรับตัว ทำให้ตัวเองดีขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น
ส่วนน้องๆ ที่อยากเป็นนักพูด นักพูดเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องเรียกเรา ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเป็นนักพูดเอง อย่างผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นนักพูด ผมแค่มีข้อคิดแล้วมาเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วคนก็มาตั้งคำนี้ให้ผม แต่ข้อคิดหรือคำพูดที่เราจะพูด อยากให้พูดในสิ่งที่ตัวเองชอบ อย่าพูดในสิ่งที่คุณคิดว่าคนอื่นจะชอบ ให้พูดในสิ่งที่คุณมี PASSION ที่คุณหลงใหลไปกับมัน แม้ว่าคุณอาจจะคิดว่ามันแปลก เหมือนที่ผมเคยคิดว่าเรื่องปรัชญามันแปลก คนอื่นไม่ชอบหรอก แต่พอพูดออกมาคนชอบ ก็อาจจะมีคนชอบเหมือนที่คุณชอบก็ได้ แค่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วพูดมันออกมาก็พอ”
เนื้อหาข้อมูล : https://campus.campus-star.com
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
โฆษณา