Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Film Attack
•
ติดตาม
17 เม.ย. 2019 เวลา 07:09 • บันเทิง
- The Flowers of War | “มวลดอกไม้แห่งสงคราม.. ในสวนอัปลักษณ์ที่โหดร้ายของชะตากรรม” -
“เงื่อนไขของสงคราม...ไม่เคยสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับการดำรงอยู่ของหัวใจ...ภายใต้วิถีของความทรงจำ มันมีแต่ภาวะที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดอันร้อนร้ายกับบาด แผลอันโศกเศร้าและยับเยินของหยาดน้ำตา ทุกๆสิ่งในบริบทของความเจ็บปวด ดั่งนี้ถือเป็นนัยสำคัญของโลกในการกระทำที่ผิดบาปของมนุษย์...โลกแห่งชีวิตที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดอันมีที่มาจากอำนาจแห่งการกระทำอันดิบเถื่อนของกลุ่มบุคคลผู้หื่นกระหายในการทำลายล้าง...เหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ ที่โลกทั้งโลกจะขจัดความรุนแรงให้พ้นออกไปจากพรหมแดนแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติที่เป็นค่าความหมายอันดีงามได้...แต่ในทางตรงกันข้าม ความมืดมนที่เป็นความดิบเถื่อนกลับกลายเป็นส่วนขยายของการมีอยู่และเป็นอยู่ ต่อสัญญาณแห่งการสร้างพื้นที่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ให้ต้องกลับกลาย เป็นดินแดนที่ต้องหลั่งเลือดเพื่อสังเวยมายาคติแห่งปรารถนาทางอำนาจของใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างน่าเวทนาและชวนหวาดหวั่น”
ผมได้ข้อตระหนักอันเป็นสัญญะของความทุกข์เศร้าและผิดบาปนี้ผ่านจากการได้ดูหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับเลื่องชื่อแห่งแผ่นดินจีน ‘จางอี้โหมว’... ‘The Flowers of War’ ที่หยิบยกเอาสงครามแห่งการหลั่งเลือดที่รุนแรงจนเป็นที่สั่นสะท้านต่อการรับรู้ไปทั่วโลกมาสื่อสารเป็นภาพแสดงให้คนรุ่นหลังได้เห็นประวัติ ศาสตร์แห่งความขัดแย้งที่ได้กลายเป็นสงครามแห่งการประหัตประหารที่คร่าชีวิตผู้คนอันเป็นพี่น้องและญาติมิตรไปอย่างไร้มนุษยธรรมอย่างถึงที่สุด ...นั่นหมายถึง... ‘สงครามแห่งนานกิง’ ที่หลายๆคนอาจจะคุ้นหูและได้อ่านหนังสือที่แสดงถึงภาวะที่เหยื่อของสงครามต้องสังเวยชีวิตและหลั่งเลือดเพื่อสถานการณ์อันวิกฤตนี้มาแล้ว...
สงครามอันโหดเหี้ยมโหดที่ ‘นานกิง’ ประเทศจีน...อาจนับเป็นความไม่น่าเชื่ออย่างหนึ่ง...หากจะมองผ่านจิตใจอันหยาบกระด้างและดิบเถื่อนของมนุษย์...ผลแห่งภาวการณ์ดังกล่าว...ได้ถูกตอกสลักเป็นความอัปยศด้วยมิติแห่งการเป็นบาดแผลของรอยบาดเจ็บที่สาหัสสากรรจ์ จนส่งผลกระทบที่กัดกินเลือดเนื้อแห่งศรัทธาของกันและกันอย่างยากจะมีการให้อภัยระหว่างจีนกับญี่ปุ่น...ทั้ง ณ ขณะนั้น หรือแม้กระทั่งผ่านมาจนทุกวันนี้...นั่นคือความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่กับด้านลบจนเกินแก่การเยียวยาเพื่อจะลบเลือน
ความอัปยศที่ทหารญี่ปุ่นได้กระทำย่ำยีต่อชาวจีนที่ ‘นานกิง’ เมื่อปี พ.ศ.2480 นับเป็นการทารุณกรรมที่ก่อเกิดเป็นความเจ็บแค้นจนยากจะลืมเลือนสำหรับผู้ถูกกระทำ...แต่ในฐานะผู้กระทำในยามนั้น พวกเขาต่างสวมวิญญาณของสัตว์ป่าเถื่อนที่ทั้งขบกัดและฉีกทึ้งเหยื่อผู้ไร้ทางสู้ที่อยู่ตรงหน้า...เหมือนการก้าวย่ำอย่างหมิ่นแคลนไปบนสถานะแห่งชะตากรรมของผู้ที่พ่ายแพ้และต้องยอมจำนน
การสังหารหมู่อย่างไร้เมตตา...การข่มขืนอย่างบ้าคลั่งและไร้จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ รวมทั้งการกระทำทรมานในลักษณะต่างๆเยี่ยงบทสาปแช่งของผีร้าย...จนมีผลกระทบต่อการตกเป็นเหยื่อของการถูกกระทำอันสามานย์นี้เป็นจำนวนกว่า 300,000 คน ...เหยื่อแห่งความทุกข์ทรมานจากน้ำมืออันแปดเปื้อนเหล่านี้เปรียบดั่งดอกไม้แห่งสงคราม... ที่ไม่มีโอกาสที่จะได้ส่งกลิ่นหอมและแสดงความงดงามออกมาในฐานะชีวิต แต่ทว่าซากร่างของพวกเขากลับยับเยินไปด้วยบาดแผลทางจิตวิญญาณอันน่าขมขื่นอย่างที่สุด
‘จางอี้โหมว’ ได้หยิบประเด็นสำนึกในสำนึกรู้แห่งความเป็นมนุษยภาพส่วนนี้มาตีแผ่ถึงเนื้อในแห่งความเป็นสัตว์ป่าเถื่อนผ่านคราบร่างของความเป็นมนุษย์ ด้วยทุนการสร้างที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรมการทำหนังของจีนที่ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปแล้ว...
...หนังเปิดเรื่องด้วยตัวละครที่เป็นมิชชันนารี ‘จอห์น มิลเลอร์ ฮอฟแมน’ ที่มีภาระต้องเดินทางมาฝังศพเหล่าเพื่อนมิชชันนารีที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายของสงครามที่อุบัติขึ้น ณ เมืองนานกิง...นั่นเป็นหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา...ภาพปรากฏต่อการรับรู้ผ่านสายตาของ ‘จอห์น’ ณ ขณะนั้นเต็มไปด้วยภาวะอันชวนหดหู่ของความทุกข์ทรมาน ...เสียงกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่งโหยหวนก้องดังไปทั่ว...ความมืดดำแห่งกลุ่มควันไฟสงครามครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ชีวิตที่ก้าวไปสัมผัส...ขณะที่กลิ่นอายของดินปืนก็คุกรุ่นจนเป็นน่าสะอิดสะเอียน...เมื่อ ‘จอห์น’ ได้เข้าไปสัมผัสกับโบสถ์แห่งศาสนา... ณ ที่ตรงนั้นเขาได้พบกับผู้คนที่ถูกโบยตีด้วยโชคชะตา...พวกเขาเหมือนขดตัวซุกอยู่กับหลุมหลบภัยอย่างไร้ที่พึ่งและความหวัง ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มเด็กสาวแรกรุ่น...ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเด็กชาย...ที่กำลังจะเติบโต พวกเขาอาศัยอาคารแห่งศาสนาเป็นร่มเงาเพื่อป้องกันตนเองจากภัยสงคราม...ด้วยข้อตระหนักที่คิดเอาเองว่าในบริเวณศาสนสถานแห่งนี้มีกำแพงสูง ซึ่งน่าจะปกป้องชีวิตและให้ความอยู่รอดแก่พวกเขาได้ อีกทั้งที่นี่ยังพอมีที่ซุกหัวนอนอันคิดว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับพวกเขา... เมื่อ ‘จอห์น’ ได้พบเห็นข้อประจักษ์แห่งชะตากรรมตรงส่วนนี้...เขาจึงตัดสินใจใช้ที่นี่เป็นทั้งที่หลบภัยและศูนย์กลางการทำงานของเขาในนานกิง... ซึ่งมันเป็นเหมือนการสร้างสัญญะขึ้นมาในเชิงศาสนา... สถาบันที่สามารถที่คุ้มภัยให้กับหมู่มนุษย์ผู้ต้องแบกรับชะตากรรมและความทุกข์ยากได้...ครั้นแล้วก็บังเกิดภาวะที่ทายท้าทางจารีตแห่งคุณธรรมขึ้น เมื่อกลุ่มโสเภณีผู้ประสบภัยก็ได้หนีมาอาศัยร่มเงาขอโบสถ์ ทางศาสนาเพื่อหลบภัยให้แก่ตัวเองเยี่ยงชีวิตอื่นๆ แต่ภาวะแห่งการเป็นผู้คนที่เสมือนมีบาปติดตัว และถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ในกายร่าง...จะมีสิทธิ์อาศัยอย่างแนบชิดกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ด้านศาสนานั้นหรือไม่
แรงปะทะระหว่างความจำเป็นและเหตุผลกลายเป็นบทบันทึกของหนังที่แสดงออกถึงความเปิดกว้างทางจิตวิญญาณและการก้าวข้ามความหมิ่นเหม่ทางจารีต...ในภาวะที่เต็มไปด้วยความรุนแรงที่ถูกรุกรานจากฝ่ายศัตรู
...‘จอห์น’ จึงไม่มีทางเลือกอื่น ...เขาตัดสินใจยอมรับบุคคลในทุกสถานะไว้ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์... เพื่อความอยู่รอดในความเป็นมนุษยภาพ ...มากกว่าที่จะตั้งแง่ทางศาสนาให้เป็นไปตามจารีตดั้งเดิม...ซึ่งนั่นย่อมจะกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสแห่งการช่วยให้รอดอันทรงคุณค่าไป
จริงๆแล้ว... ‘จอห์น’ ก็คงไม่อาจรับประกันได้ถึงความปลอดภัยของทุกๆคน...ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้ทวีความรุนแรงที่จะย่ำยีคนจีนที่ ‘นานกิง’ มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ชื่อว่า...เป็นผู้ได้ช่วย...และได้มีโอกาสติดต่อกับต่างประเทศ...เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือ...ได้เข้ามาเห็นความจริงแท้อันโหดร้ายของเหตุการณ์สงครามที่ ‘นานกิง’ ซึ่งเขารู้สึกถึงว่า...ผู้กระทำได้กระทำต่อผู้ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่มนุษย์...และสงครามอันดิบเถื่อนและบ้าคลั่งนี้ควรจะต้องสิ้นสุดลงเสียที...นี่คือหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยบริบทแห่งสาระเนื้อหาเชิงการเมืองอย่างเต็มรูป...สถานการณ์แห่งตัวละครถูกนำเสนอออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนดั่งมิติของความเป็นสีขาวกับสีดำ...ดั่งนัยของความเป็นธรรมและอธรรม...แน่นอนว่ามันย่อมเต็มไปด้วยประจุของอารมณ์ที่หนีไม่พ้นเบื้องลึกของความเคียดแค้นที่ฝังลึกอยู่ในมุมมองแห่งหัวใจของผู้ถูกกระทำ เพียงแต่ว่า... ‘จางอี้โหมว’ ได้ใช้มุมมองในหนังเรื่องนี้ของเขาผ่านสายตาของผู้หญิง ซึ่งตกเป็นทาสของการถูกกระทำย่ำยีโดยตรง...พวกเธอคือดอกไม้งามที่ถูกคร่าชีวิตและถูกหยามหมิ่นในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อันเป็นประวัติศาสตร์ของความอัปยศที่ไม่อาจลบเลือนได้ ...แม้เมื่อใด...
‘The Flowers of War’ ดัดแปลงมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “13 Flowers of Nanjing’ ของนักเขียนหญิงผู้โด่งดังอย่างยิ่งหลังจากการเขียนเรื่องนี้‘เหยียน เกอ หลิง’...และเป็นตัวแทนหนังของประเทศจีนที่ส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาษาต่างประเทศปีล่าสุด โดยนัยสรุปหนังเข้มข้นไปด้วยเรื่องราวที่ทบซ้อนทางการเมืองที่ดำเนินเรื่องคู่ไปกับพฤติกรรมแห่งชะตากรรมที่มนุษย์ไม่น่าจะกระทำต่อกันในโลกนี้...ภาพแสดงแทบทุกภาพเต็มไปด้วยนัยแฝงลึกทางจิตสำนึกที่หนักหน่วง ที่สื่อผ่านอาการแสดงอย่างเต็มที่...ไม่ว่าการร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่งของผู้หญิงต่อชะตากรรมที่ถูกบังคับข่มเหง...ฉากการต่อสู้อย่างไม่กลัวตายต่อศัตรูร้ายที่ก้าวเข้ามาทำร้าย...ฉากการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะฆ่าตัวตายหมู่ อันถือเป็นฉากที่ทรงพลังและน่าสะเทือนใจยิ่ง กระทั่งฉากของการรักษาพยาบาลเหล่าทหารที่ยอมแลกชีวิตสู้รบซึ่งกำลังจะตาย...
‘จางอี้โหมว’ ไม่ได้วางฐานะอยู่ตรงกลางของการทำเรื่องนี้...มันเป็นที่เข้าใจได้...ในภาวะของการเป็นผู้ถูกระทำ...การให้อภัยอาจเป็นวิสัยที่ดีทางคุณธรรม...แต่เมื่อจนป่านนี้ ‘คำขอโทษ’ จากผู้กระทำที่ยังไม่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน...จึงทำให้...ชะตากรรมที่นานกิงยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำไว้ด้วยหัวใจที่เจ็บแค้น... “แม้ว่าหลายๆคนอาจจะคิดให้อภัย...แต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะลืมเลือน”
ความเป็นประวัติศาสตร์ได้เคลื่อนย้ายผ่านกาลเวลาของมันไปแล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสื่อลมหายใจให้คนรุ่นหลังได้ตริตรองและใคร่ครวญเพื่อความชอบธรรมในตัวตนของมันเสมอ...และนั่นย่อมหมายถึงว่าความเป็นหัวใจของ ‘จางอี้โหมว’ ก็เช่นกัน... ‘คริสเตียน เบล’ จาก ‘แบท แมน’ มารับบทเป็น ‘จอห์น มิลเลอร์ ฮอฟแมน’ ตัวกลางของศูนย์กลางแห่งเรื่องราวอันเป็นความหลังฝังจำ...ที่ไม่รู้ลืมนี้...เขาอาจจะถือเป็นบุคคลที่ถือได้ว่า...เป็นผู้ที่ทำให้โลกกว้างได้รู้จักสถานการณ์หลั่งเลือดที่นานกิง จนกระทั่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อการหยุดยั้งสงครามและก่อเกิดสันติภาพขึ้นมา...ในท้ายที่สุด...
"ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คืออุทาหรณ์สอนจิตสำหรับคนทุกคน โดยเฉพาะในสังคมของเราที่ดูเหมือนจะบูชาและใฝ่หา ความรุนแรงเพื่อจะทำลายล้างกันและกันอย่างไม่น่าเชื่อ ...ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า.. .เราต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันไม่ใช่...ศัตรูที่ข้ามน้ำ...ข้ามแผ่นดินเหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นได้กระทำกับจีน...ที่นานกิงแต่อย่างใดไม่..."
“ตราบใดที่เรายังตระหนักรู้ในคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์และไม่คิดที่จะมุ่งร้ายทำลายกัน สถานะของความเป็นมนุษย์ของเราจะยังคงดำรงอยู่อย่างงดงามดั่งดอกไม้ในสวนสวยที่รอรับความเบิกบานจากแสงฉายของดวงตะวัน แต่หากว่าทุกสิ่งเป็นไปในทางตรงข้าม...นั้นก็เท่ากับว่า...ดอกไม้ในสวน...ในนามของความเป็นมนุษย์ ...ก็จะเหลือค่า เป็นได้แค่เพียงซากศพแห่งสงครามอันโหดร้ายและอัปลักษณ์...ที่มีแต่จะถูกลืมเลือนอย่างเปล่าดายเพียงเท่านั้น”
The Flowers of War (2012)
youtube.com
Flowers Of War
Darsteller / cast: Christian Bale (Batman), Paul Schneider , Shigeo Kobayashi Genre: drama / history - Jin líng shí san chai Regie / directed by: Yimou Zhang...
#FILMAttack
บันทึก
3
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย