19 เม.ย. 2019 เวลา 21:57 • ไลฟ์สไตล์
5 บทเรียนชีวิตโหดร้ายและทรงคุณค่าของคีอานู รีฟ
คีอานู รีฟส์ ซึ่งเป็นทั้งนักแสดงชาย โปรดิวเซอร์ นักดนตรี นักแสดงละครใบ้ นักทฤษฎีสมคบคิด และบุรุษผู้รักสันโดษ ดูเหมือนว่าตลอดทั้งชีวิตของคีอานู รีฟส์เขาได้ประสบกับเรื่องราวมากมายเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะรับไหว ตั้งแต่การประสบความสำเร็จไปจนถึงการสูญเสียบุคคลใกล้ชิด ขอบอกเลยว่าเรื่องราวชีวิตของคีอานู รีฟส์น่าสนใจกว่าบทบาทใดๆที่เขาเคยรับแสดงเสียอีก และนี่คือ 5 บทเรียนชีวิตของคีอานู รีฟส์ที่ทุกคนควรเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองเพื่อทำให้โลกใบนี้สวยงามน่าอยู่ยิ่งขึ้น
1. การเริ่มต้นอันยากลำบากไม่ใช่ตัวกำหนดชะตาชีวิตที่เหลือ
คีอานู รีฟส์ เกิดที่เมืองเบรุต ประเทศเลบานอนเมื่อปี 1964 และต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตั้งแต่ในวัยเด็กไปจนถึงช่วงวัยรุ่น พ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปขณะที่เขาอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้นและภายหลังพ่อของเขาก็ถูกจับกุมเข้าคุกด้วยข้อหาค้าเฮโรอีน หลังจากที่หย่าแม่ของเขาก็กลายเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าและพาลูกๆเดินทางไปทั่วโลกตั้งแต่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ตามด้วยนิวยอร์ค และสุดท้ายก็ตั้งรกรากที่เมืองโตรอนโต้ ประเทศแคนาดา
คีอานู รีฟส์ เล่นกีฬาเก่งกว่าการเรียนหนังสือ บางทีอาจเป็นเพราะโรคดิสเล็กเซียหรือโรคความบกพร่องในการอ่านหนังสือ เขาถนัดเล่นกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็งมากจนถึงขั้นวางแผนเล่นระดับอาชีพแต่บังเอิญเกิดบาดเจ็บเสียก่อน แม้ว่าชีวิตของคีอานู รีฟส์จะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยสวยนัก แต่เขาก็เติบโตขึ้นมาอย่างมีความรับผิดชอบและรู้จักตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง สรุปว่าต่อให้เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ชีวิตที่เหลือของเราเป็นแบบไหน
2. ความใจดีมีคุณค่ามากกว่าเงิน
หลังจากที่ย้ายไปแอลเอเมื่อปี 1986 คีอานู รีฟส์ก็รับงานแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องตั้งแต่ River’s Edge, Point Break, Speed, A Walk In The Clouds, The Devil’s Advocate, The Replacement และที่พลาดไม่ได้คือ The Matrix ซึ่งค่าตัวของเขาอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญและเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านเหรียญเมื่อมีการสร้างภาคสุดท้าย ว่ากันว่าเมื่อจบโปรเจคต์นี้เขามีรายได้รวมถึง 110 ล้านเหรียญเลยทีเดียว และที่น่าทึ่งคือเขาได้มอบเงินจำนวน 75 ล้านเหรียญให้แก่ทีมสเปเชียลเอฟเฟกต์กับแผนกออกแบบเสื้อผ้า นอกจากนี้เขายังกว้านซื้อมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์เดวิดสันของทีมสตันท์ทั้งหมดด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คีอานู รีฟส์ยังมอบเงินหลายล้านเหรียญให้แก่องค์กรการกุศล เช่น PETA, the SickKids Foundation และ Stand Up To Cancer ขณะที่คิมน้องสาวของเขาก็ป่วยเป็นโรคลูคีเมียมานานกว่า 10 ปี เขาก็ช่วยเหลือเธอด้วยการบริจาคเงินเป็นจำนวน 5 ล้านเหรียญ นอกจากนี้เขายังก่อตั้งมูลนิธิโรคมะเร็งส่วนตัวเพื่อจุนเจือโรงพยาบาลเด็กรวมถึงการวิจัยโรคมะเร็งด้วย
คีอานู รีฟส์ เคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Hello! เมื่อปี 2003 ว่า “เงินเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมนึกถึง ผมสามารถอยู่กับสิ่งที่ผมทำไว้เผื่อในอีก 2-3 ศตวรรษข้างหน้าแล้ว”
3. ปล่อยให้ความฝันเป็นพลังในการขับเคลื่อนคุณ อย่าใช้เงินเด็ดขาด
จริงอยู่ที่หลายคนทำงานเพื่อเงิน แต่คีอานู รีฟส์เป็นตัวอย่างชั้นเลิศที่ใช้ความฝัน หลักศีลธรรม และความชอบส่วนตัวเป็นพลังขับเคลื่อนในการทำงาน แม้กระทั่งในช่วงแรกของการเข้าสู่อาชีพนักแสดง เขายังเลือกแสดงแต่ในบทบาทที่ตัวเองชอบเลย แน่นอนว่าทั้งเงินกับความฝันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรและเป็นไปได้ที่จะมีทั้งสองอย่างพร้อมกัน แต่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันถูกกดดันให้เชื่อว่าเงินนั้นสำคัญยิ่งกว่าความสุข และบอกด้วยว่าความสุขนั้นกินไม่ได้ ความสุขไม่สามารถทำให้คุณอิ่มท้องและอยู่อย่างสุขสบายได้ เงินอาจเป็นแรงจูงใจสำหรับใครหลายๆคนแต่ต่อให้คุณสูญเสียรายได้ คุณก็ยังมีชีวิตอยู่ได้นะ ดังนั้นคุณปรารถนาชีวิตที่สบายแต่ไร้ความสุขจริงๆเหรอ?
4. คุณมีโอกาสสูญเสียใครไปก็ได้แต่อย่าสูญเสียตัวเองไปเด็ดขาด
ก่อนที่คีอานู รีฟส์จะโด่งดังมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้ เขาเคยแสดงภาพยนตร์ตลกเรื่อง Parenthood ของสตีฟ มาร์ตินในปี 1989 และภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา ริเวอร์ ฟีนิกซ์ พวกเขาสนิทกันมากและได้แสดงภาพยนตร์ด้วยกันหลายต่อหลายเรื่อง แต่ในที่สุดริเวอร์ ฟีนิกซ์ก็เริ่มหันมาเสพเฮโรอีนและเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในปี 1993 หลังจากนั้นคีอานู รีฟส์ก็ไม่เคยปริปากถึงเรื่องการตายของเพื่อนคนนี้อีกเลย
ต่อมาคีอานู รีฟส์ได้ตกหลุมรักเจนนิเฟอร์ ไซม์นักแสดงสาวคนหนึ่งจนเธออุ้มท้องลูกคนแรกของเขา ทว่าในเดือนธันวาคม ปี 1999 ทารกน้อยก็เสียชีวิตหลังจากที่คลอดออกมา ทั้งคู่เสียใจมากและเลิกรากันในเวลาต่อมา ปรากฏว่าในวันที่ 2 เมษายน ปี 2001 เจนนิเฟอร์ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ คีอานู รีฟส์กล่าวว่า “ผมคิดถึงการได้อยู่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ผมอยากรู้ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรถ้ายังมีชีวิตอยู่ที่นี่ ผมคิดถึงสิ่งต่างๆที่จะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่หนีไปไหนหรอกเพราะนี่คือความงดงามของชีวิต ผมอยากแต่งงานมีลูก แต่ขอเวลาสักหน่อยเถอะ” มีบ้างในช่วงชีวิตที่คุณต้องเจอกับการสูญเสีย ความเจ็บปวด ความเหงา และเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ แต่จงจำไว้ว่าคุณมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะก้าวเดินไปจนสุดถนนได้ คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนโลก คุณขอความช่วยเหลือได้ และอีกไม่นานคุณจะกลายเป็นคนที่กล้าหาญขึ้น ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
5. คิดบวก ทำบวก
พลังงานในทางบวกจะนำความรู้สึกดีๆเข้ามาซึ่งตรงกันข้ามกับพลังงานในทางลบ แต่ใช่ว่าพลังทำลายล้างเหล่านั้นจะมีแต่ข้อเสีย บางครั้งศัตรูก็คือครูที่ดีที่สุดของเรา คนทุกคนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากประสบการณ์ที่ผิดพลาด ซึ่งจะหล่อหลอมให้เรารู้สึกราวกับว่าได้เกิดมาเป็นคนใหม่นั่นเอง
"ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามอ่านมากๆนะครับ 😄🙏"
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอโดย :
"สาระหลากด้าน"
โฆษณา