24 เม.ย. 2019 เวลา 15:51 • ประวัติศาสตร์
วิญญาณระลึกชาติ - เด็กหญิงพิมพวดีกับผลกรรมที่มีอยู่จริง!! #1
#2 ตอนจบ มาละจ้า https://www.blockdit.com/articles/5cc09a2e673a150ff8a97405 ขอบพระคุณที่ติดตามนะคะ 😊🙏
ทุกท่านว่า กฎแห่งกรรม มีจริงมั้ยคะ ?
แล้วท่านเชื่อเรื่องของคนที่สามารถระลึกชาติได้หรือเปล่า ? และเรื่องราวที่ Red Diary นำมาเสนอในวันนี้ บางท่านน่าจะคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเรื่องถูกประโคมข่าวอย่างหนักในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความแปลกใจ และตระหนักได้ถึง บาป บุญ คุณโทษ
Red Diary ขอย้อนพาทุกท่านไปรู้จักเกี่ยวกับเรื่องราวของ เด็กหญิงพิมพวดี ที่ระลึกชาติได้ เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มีบุคคลที่อ้างถึงได้ เรื่องราวจะเป็นเช่นใดนั้น เชิญติดตามได้เลยค่ะ
pix Cr.TLCthai
เรื่องราวที่จะเล่าต่อจากนี้ เป็นประสบการณ์ของ "นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ" อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต
ท่านได้รับการเปิดเผยเรื่องราวของตนเองในอดีตชาติผ่านวิญญาณของเด็กหญิงผู้หนึ่ง นามว่า "พิมพวดี โหสกุล"
พิมวดี โหสกุล เกิดในชาตินี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2493 ในครอบครัวตระกูลโหสกุล นายเสียง โหสกุล (บิดา) และ นางสมพร โหสกุล (มารดา) โดยมีพี่น้องร่วมสายเลือดรวมกัน 5 คน คือ
2
นายเสรี โหสกุล
นายวัฒนา โหสกุล
นายถาวร โหสกุล
นายวันชัย โหสกุล
และ เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล ซึ่งเป็นบุตรสุดท้องและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในบรรดาพี่ ๆ ทั้ง 4 คนเธอต่างเป็นที่รักของครอบครัวของเธอ
จู่ ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ พิมพวดี โหสกุล ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก และได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช
ต่อมาเธอได้เสียชีวิต ในวันที่ 2 กรกฎาคม ปี พ.ศ.2502 (ด้วยวัยเพียง 9 ปี 9 เดือนเท่านั้น)
สร้างความโศกเศร้า เสียใจ ให้แก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ บิดาและมารดาของเธอ เพราะเธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของบ้าน และได้จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย บิดาของเธอเศร้าเสียใจเป็นที่สุด ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
1
ยังคงคิดถึงลูกสาวคนเล็กอยู่ตลอดเวลา ถึงขนาดที่หากเห็นรูปถ่ายหรือมีการพูดคุยเอ่ยถึงพิมพวดี เป็นต้องร่ำไห้ ร้องโฮออกมาเสียทุกครั้ง
นายเสียง โหสกุล Pix Cr dr.slump
ด้วยความอาลัยรักของครอบครัว ทำให้บิดาของเธอเกิดความคิดที่จะสร้างถาวรวัตถุเพื่อไว้รำลึกเป็นอนุสรณ์ให้แด่ลูกสาวสุดที่รักยิ่งของเขา จึงขอเข้าเฝ้าเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสแห่งวัดมกุฏกษัตริยาราม
บิดาของเธอกราบทูลต่อท่านว่า มีความประสงค์ที่จะสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง เพื่อให้เป็นอนุสรณ์แด่ลูกสาว และถวายให้วัดไว้สำหรับตั้งศพของบรรดาญาติโยมทั่วไป
เจ้าประคุณสมเด็จฯ เมตตามาในงานพิธี Pix Cr Dr.slump
ซึ่งท่านก็อนุญาติ และ ให้การสนับสนุนโดยท่านอนุญาตให้รื้อกุฏีหลังหนึ่งออก ที่ตั้งอยู่ข้างอาคารสำนักงานและศาลานี้ก็เป็นผลประโยชน์ของทางวัด ศาลานี้ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2504 โดยใช้ชื่อศาลาว่า "พลับพลาพิมพวดี"
ภายในศาลาได้ตั้งรูปถ่ายของ พิมพวดี โหสกุล ประดับพร้อมพานพุ่ม ดอกไม้ และเครื่องบูชาต่าง ๆ ไว้ด้วย นับตั้งแต่จัดตั้งศาลาเสร็จ ครอบครัว พี่น้อง และบรรดาญาติ ๆ ตระกูล โหสกุลจะร่วมกันทำบุญให้ พิมพวดี โหสกุล
1
เป็นประจำปีละ 2 ครั้ง ทุกวันที่ 25 ตุลาคม ( คล้ายวันเกิดของเธอ) และ ทุกวันที่ 2 กรกฏาคม (คล้ายวันเสียชีวิตของเธอ)
1
Pix Cr.tnews
เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น ต่อมา นายแพทย์อาจินต์ ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา ถึงเรื่องของการระลึกชาติของเด็กหญิงพิมพวดี โดยเรื่องราวเริ่มต้นเมื่อปลายปี พ.ศ.2529 คาบเกี่ยว วนไปถึงขึ้นปีใหม่ ปี พ.ศ.2530
เมื่อครั้งหนึ่ง นพ.อาจินต์ ได้จัดคณะผู้สูงอายุท่องเที่ยวทางเหนือ ตัวนพ.อาจินต์ ป่วยเป็นโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่ด้วยกัน)
นพ.อาจินต์เป็นโรคนี้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น อาการนั้นจะปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปจนถึงกลางกระหม่อม และปวดอยู่ซีกเดียว ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นวัยรุ่น ยังหนุ่มแน่น และอายุยังน้อย ทำให้อาการยังไม่รุนแรงมาก ทานยาแก้ปวดก็พอบรรเทาให้คลายลงได้
1
ต่อมาปี พ.ศ.2504
นพ.อาจินต์ เกิดอาการปวดประสาทมากจนทนไม่ไหว เขาถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น แพทย์จึงตรวจร่างกายและวินิจฉัยโรคของ นพ.อาจินต์ อย่างละเอียด โดยได้รับการดูแลเยียวยาและรักษาเป็นอย่างดี แต่อาการปวดประสาทกลับรุนแรงขึ้นมาก จนเขาอยากจะผูกคอตายไปวันละหลายๆรอบ
คืนหนึ่ง ช่วงเวลาประมาณ 20:00 น.
นพ.อาจินต์เกิดอาการปวดประสาท อาการกำเริบอีกครั้ง พยาบาลให้กินยาและฉีดยาตามที่แพทย์สั่ง แต่อาการก็ยังไม่หายไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่บรรเทาลงเลย นพ.อาจินต์ นอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วได้แต่ท่องภาวนาบริกรรมว่า "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" ทำอาปานุสสติไปเรื่อย ๆ จนความเจ็บปวดเริ่มสงบลง
1
Pix Cr.TLCthai
ต่อมาช่วงเวลา 21.00 (โดยประมาณ)
นพ.อาจินต์ หลับตาลงไป แต่รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ เตียงของเขา จึงถามภรรยาและพยาบาลที่เฝ้าเขาอยู่ ว่า "ใครมา?"
1
ภรรยาเขาตอบกลับมาว่า "ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่มีใครมาหรอก" หลังจากภรรยาตอบกลับ เขาจึงหลับตาเข้าทำสมาธิต่อ แต่รอบนี้ เขารู้สึกชัดเจนว่ามีคนยืนอยู่ข้างเตียง เขาจึงลืมตาขึ้น
และพบว่า เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนท้วม และสวมใส่ชุดคนไข้ของโรงพยาบาลอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้น นพ.อาจินต์ จึงเอ่ยปากถามว่า "หนูเป็นใคร มาที่นี่ทำไม"
เขาพยายามพูดเสียงดังเพื่อให้ภรรยาและพยาบาลได้ยินด้วย ภรรยาเมื่อได้ยิน จึงลุกขึ้นมาเขย่าแขน นพ.อาจินต์พร้อมพูดว่า "เธอ นี่อยู่นี่ๆ"
นพ.อาจินต์ กล่าวว่า ภรรยาคงคิดว่าเขาป่วยจนถึงขั้นเพ้อ แต่เขาตอบกลับภรรยาไปว่า "ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไร..มีใครเห็นไหม มีเด็กอยู่ข้างเตียงนี่ไง?"
1
ทั้งภรรยาและพยาบาล ต่างส่ายหน้า พร้อมปฏิเสธว่า "ก็ไม่เห็นมีใครนี่"
หากแต่ นพ.อาจินต์ยังคงสงสัย เพราะเขายังคงมองเห็นเด็กหญิงคนนั้นนั่งอยู่มุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม นพ.อาจินต์พูดเสียงดังว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจด ช่วยจำ ไว้ด้วย"
1
แล้วบทสนทนาระหว่าง นพ.อาจินต์กับหนูน้อยร่างอ้วนท้วมก็เริ่มขึ้น
1
นพ.อาจินต์ :- หนูเป็นใคร..มาทำไมในห้องนี้!?
หนูน้อย :- หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว
นพ.อาจินต์ :- เอ้อ...หนูเคยป่วยที่ห้องนี้ แล้วหนูเป็นอะไรตาย?
หนูน้อย :- หนูป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ
ในขณะนั้นภรรยาและพยาบาลก็ช่วยกันจดข้อมูลเสียยกใหญ่ นพ.อาจินต์เองก็พยายามทบทวนด้วยเสียงที่ดัง เน้นทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังรอจด รอฟังได้ยินด้วย
นพ.อาจินต์ :- แล้วหนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?
หนูน้อย :- ตาหนูเป็นหลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริค่ะ
นพ.อาจินต์ :- หนูมาที่นี่ มีจุดประสงค์อะไรหรือจ๊ะ ?
หนูน้อย :- หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้วที่ตึกเด็ก เขาบอกว่า เขาเป็นลูกของคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา และมาช่วยให้คุณอาหายป่วยจากโรคนี้ค่ะ เขาบอกให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ
1
หลังจากบทสนทนาจบสิ้น นพ.อาจินต์ลุกขึ้นนั่งทันที พร้อมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ถ่ายทอดมาจากหนูน้อยคนนั้นให้ภรรยาของเขาและพยาบาลผู้เฝ้าไข้ฟัง
พยาบาลรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก พร้อมกับเล่าว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2502 มีเด็กผู้หญิงเสียชีวิตที่ตึกนี้จริง ๆ
หลังจากนั้นนพ.อาจินต์ก็เข้านอนตามปกติ โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรมไปด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น.
เขารู้สึกปวดประสาทเป็นอย่างมาก เขาได้ยินเสียงแว่วข้างหู ว่า "เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ไง..เข้ามาซิ"
นพ.อาจินต์ลืมตาขึ้นมองรอบห้อง ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติไป แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงแว่วมาอีกครั้ง ว่า "เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ"
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาได้พบกับเด็กทั้งสองคนมายืนอยู่ข้างเตียง คนหนึ่งเป็นหนูน้อยอ้วนท้วมคนเก่า และ ผู้มาใหม่อีกคนหนึ่ง หน้าตา น่ารัก น่าเอ็นดู อายุ 12 ขวบ เธอเดินมาข้างเตียงเขาพร้อมกับพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อแล้ว"
นพ.อาจินต์รีบปลุกให้ภรรยาและพยาบาลที่เฝ้าตื่น แล้วถามพวกเขาทั้งสองว่า "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม เด็ก ๆ ยืนอยู่ตรงนี้"
พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างไสว แต่กลับไม่พบใครสักคน นพ.อาจินต์ก็ตอบกลับว่า "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงละ" เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่เด็กทั้งสอง ขณะที่ภรรยาและพยาบาลต่างตื่นและเริ่มขยับตัวเข้าชิดกัน (อาจจะเพราะกลัว)
หลังจากนั้นหนูน้อยอ้วนท้วมคนเดิมก็ลาจากไป เหลือเพียงแม่หนูตัวเล็กคนเดียว และตอนนี้เธอก็นั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงของนพ.อาจินต์ ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนชันคางไว้ แล้วบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น
พิมพวดี โหสกุล :- คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ ?
นพ.อาจินต์ :- ตอนนี้ยังคงปวดมากจ๊ะ
พิมพวดียื่นมือข้างหนึ่งมากุมไว้ที่ศรีษะด้านที่ปวดของ นพ.อาจินต์ เพียงครู่หนึ่งอาการก็ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์
Pix Cr.บันทึกกรรม
นพ.อาจินต์ได้ถามหนูน้อยพิมพวดี ว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงเรียกเขาว่าพ่อ รวมถึงการที่เธอมาพบกับเขา ก็จับใจความได้ว่า..
1
ในชาติที่แล้ว หนูพิมพวดี เกิดเป็นลูกสาวของนายแพทย์อาจินต์ ในชาติที่แล้วเธอเสียชีวิต (ในวัย 10 กว่าขวบ) เพราะเล่นน้ำแล้วไถลลื่นตกน้ำเสียชีวิต แถวโรงโม่ท่าเตียนซึ่งไม่ไกลจากกันสักเท่าไหร่ เธอเล่าต่อว่า ในชาติที่แล้วนั้น นพ.อาจินต์รับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นคุมนักโทษและราชมัล
ราชมัล คือ ผู้คุม เป็นคนที่ลงโทษ และ ทรมานนักโทษ รวมถึงประหารชีวิตนักโทษด้วย นพ.อาจินต์ ถามต่อว่า เขาป่วยจากโรคนี้เพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่ถึงจะหาย
พิมพวดี กล่าวว่า ป่วยเพราะกรรมเก่าที่พ่อของเธอได้ทำไว้แต่ชาติปางก่อน ซึ่งมีหน้าที่ลงโทษ ทรมาน รวมถึงประหารชีวิตนักโทษ พวกเขา ก็เลยตามมาสนองในชาตินี้
2
พร้อมเล่าเรื่องชาติก่อนให้ฟังว่า . .
เมื่อครั้งหนึ่ง มีชายรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกต้องคดีว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณแก่ราษฏร หากแต่ความจริง คือ เขาไม่ได้เป็นคนทำ แต่ชาวบ้านรวมหัวกันใส่ความว่าเขาผิด เขาเป็นผู้กระทำ พระอัยการจึงคุมตัวมาลงโทษ
1
สอบถามชายผู้นั้น เขาก็ไม่รับสารภาพผิด เพราะเขาไม่ได้กระทำผิด ราชมัล (นพ.อาจินต์) จึงลงโทษชายผู้นั้น ด้วยการจับเขาเข้าขื่อเข้าคาแล้วตอกเล็บ แล้วนำเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาเจ็บปวดมาก ถึงกับสลบลงไป ชายคนนั้นก็ยังไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย ราชมัล จึงบีบขมับเขาให้หนักขึ้นไปอีก เพื่อให้เขายอมรับออกมา
Pix Cr.dmctv
หากแต่ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ไม่สามารถทนรับความเจ็บปวดได้ไหว เขาขาดใจตาย และก่อนตาย เขาได้ผูกใจเจ็บ อาฆาตแค้นพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรราชมัลทุกชาติไปจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้กรรมก็ตามทันแล้ว นพ.อาจินต์ จึงได้เจ็บป่วยอยู่เช่นนี้
1
นพ.อาจินต์ ถามหนูน้อยพิมพวดี ว่า เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที หากแต่ พิมพวดี กล่าวว่า พ่อทำบาปในชาติก่อนไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาเป็นอย่างนี้
ส่วนกรรมชั่วก็ตามสนองอยู่เช่นกัน หากคุณพ่อปวดหัวมาก ๆ ให้นึกถึงหนู หนูจะมาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เบาบางลง พรุ่งนี้แปดนาฬิกา คุณหมอจะพาคุณพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ
นพ.อาจินต์ :- พรุ่งนี้เช้า จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ ?
หนูน้อยพิมพวดี พยักหน้ารับ ก่อนที่จะหายตัวจากไป
Pix Cr.palungjit
รุ่งเช้า เวลา 08.00 น.
อาจารย์หมอนายแพทย์อุดม มาตรวจเยี่ยม นพ.อาจินต์ เขาได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้เขาปวดเส้นประสาทเป็นอย่างมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง อาจารย์หมออุดม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "แปดโมงเช้านี้ จะนำตัวไปผ่าตัด เพื่อผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก" พร้อมหันสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมพาคนไข้รายนี้ขึ้นผ่าตัด
ภรรยาและพยาบาล งุนงง กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีการนำพา นพ.อาจินต์ไปผ่าตัด เพราะเมื่อคืนทั้งสองได้ยิน นายแพทยต์พูดอยู่คนเดียว ทวนคำพูดของหนูน้อยพิมพวดี ว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาตัวเขาไปผ่าตัด
1
ตอนนั้นทุกคนต่างเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ทุกคนเชื่อแล้ว และเชื่ออย่างไม่มีความสงสัยหลงเหลืออยู่เลย
การผ่าตัดเส้นประสาทสมองใช้เวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง ช่วงเวลาประมาณเที่ยง นพ.อาจินต์ก็ถูกเข็นกลับที่ห้องเดิม และภายในช่วงค่ำของวันนั้น เขาเกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ครั้งนี้ เขาเจ็บทั้งสมองที่เพิ่งผ่าออกมา ปวดแผล หนำซ้้ำยังปวดจากโรคเดิมถาโถมเขาอีก
นพ.อาจินต์รู้สึกทุกข์ และ ทรมานอย่างสุดแสนสาหัสมากกว่าเก่าหลายเท่า นึกขึ้นได้ ว่าหากมีอาการหนักมาก ให้เรียกหนูน้อยพิมพวดี "หนู ช่วยพ่อด้วย" นพ.อาจินต์ ตะโกนเสียงดังออกมา ชั่วพริบตาก็ปรากฎร่างของเด็กหญิงคนเดิมมานั่งอยู่ข้างเตียงของ นพ.อาจินต์
Pix Cr.บันทึกกรรม
นพ.อาจินต์ :- มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้พ่อปวดเกินจะทนแล้ว
พิมพวดี เอามือของเธอวางลงบนศีรษะของพ่อเธอ พร้อมบอกว่า เดี๋ยวอาการจะทุเลาลง แล้วเป็นจริงอย่างที่ว่า อาการของพ่อเธอ เริ่มทุเลาลงในเวลาอันรวดเร็ว
1
เมื่อพอเริ่มทุเลา คลายความเจ็บปวด นพ.อาจินต์จึงถามข้อมูลเกี่ยวกับลูกสาวของเขาในอดีตชาติเพิ่ม และได้ทราบว่า ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอชื่อ พิมพวดี โหสกุล เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออก ตายที่ตึกเด็ก เมื่อปี พ.ศ.2502 (ตามที่หนูน้อยร่างอ้วนท้วมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้)
1
พิมพวดี เล่าให้ นพ.อาจินต์ ฟังว่า เธอมีพี่น้อง 5 คน และเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว พร้อมทั้งกล่าวว่า พ่อของเธอได้สร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้เธอทีวัดมกุฎกษัตริยาราม และเอาชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อศาลา มีรูปและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้ว ฝังอยู่ในนั้นด้วย
1
เมื่อเธอเห็นว่า อาการของพ่อเธอดีขึ้นแล้ว เธอจึงบอกลาพ่อของเธอ "หนูไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกค่ะ" พร้อมกับหายตัวไป
ต่อมารุ่งเช้า
อาการปวดกำเริบขึ้นอีกครั้ง รอบนี้ นพ.อาจินต์ ทุรนทุรายครวญครางความเจ็บปวด เหมือนทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ และทุกครั้งที่เขามีอาการเจ็บปวดเขาจะนึกถึง พิมพวดี ทุกครั้งเสมอ "ลูก..ช่วยพ่อที" ไม่นานเกินรอ พิมพวดี ก็ปรากฏตัวให้ นพ.อาจินต์เห็น
2
นพ.อาจินต์ถามพิมพวดี ว่า เหตุใดผ่าตัดแล้วถึงยังไม่หายอีก พิมพวดี กล่าวว่า ยังไม่หมดกรรมที่พ่อได้ทำไว้ กว่าจะหายก็อีก ราว ๆ สี่ปี ช่วงประมาณ พ.ศ.2508 โน่นแหละ พร้อมบอกกับพ่อของเธอว่า พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวพ่อไปผ่าตัดอีก ซึ่งจะต้องผ่าตัดอีกสองครั้ง รวมทั้งหมด สี่ครั้ง ในคราวนี้
2
นพ.อาจินต์ ตกใจ ว่าเขาต้องผ่าตัดอีกสี่ครั้งเชียวหรือ พิมพวดี กล่าวว่า หนูลาก่อน วันนี้ต้องรีบสักหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี
นพ.อาจินต์ ถามว่า เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร พิมพวดี ตอบกลับว่า เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา แต่คนตายมีเหรียญตรา และมีสายสะพายด้วย
ซึ่งในตอนที่ นพ.อาจินต์กำลังพูดคุยกับหนูพิมพวดีอยู่นั้น คุณทวี บุณยเกตุ (พี่ชายของหมออาจินต์) และ วีระวัฒน์ บุณยเกตุ (บุตรคุณทวี) ก็ร่วมนั่งฟังอยู่อย่างเงียบ ๆ ด้วย คุณทวีอยากจะพิสูจน์กับสิ่งที่ได้ยิน จึงให้ คุณวีระวัฒน์ ขับรถไปที่วัดมกุฏฯ ทันที
1
ปรากฏว่า ในคืนนั้นมีการนำศพมาบำเพ็ญกุศลจริง ๆ เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา และสายสะพาย คุณวีระวัฒน์ รีบขับรถกลับมานำเรียนกับคุณทวีว่า เป็นจริงอย่างที่ได้ยิน นพ.อาจินต์พูดทวนครบทุกประการ
ตกดึกคืนนั้น นพ.อาจินต์ ปวดหัวอย่างหนักอีกครั้ง และเป็นไปเช่นเคย อาจารย์หมออุดม หลังทราบว่า เขายังคงมีอาการปวดอยู่ ก่อนจะหันไปสั่งพยาบาลว่า ให้เตรียมคนไข้คนนี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดโมง ทุกคนในตึกต่างตกตะลึง กับคำสั่งที่น่าประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้า นพ.อาจินต์ เล่าให้เพื่อน ๆ ของเธอฟัง ตั้งแต่เมื่อคืน ว่าเช้านี้ นพ.อาจินต์จะต้องถูกผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งตรงกับที่พิมพวดี ได้บอกเอาไว้
1
เรดขออนุญาต ตัดจบไปตอน 2 นะคะ เนื่องจากเรื่องราวและเนื้อหาเยอะมาก เรดไม่อยากตัดทอนอะไรออกไปเยอะ เพื่ออรรถรส และความครบถ้วนของเนื้อหา รอติดตามกันน้า ขอบพระคุณค่า 😊🙏
หากท่านใดชื่นชอบบทความนี้ กดไลค์ กดแชร์ และกด Follow เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเราด้วยนะคะ เรายินดีจะนำบทความดี ๆ ที่น่าสนใจมานำเสนอแก่ทุก ๆ ท่านค่า ขอบคุณค่ะ ❤ 😁
Cr.kapook , บันทึกกรรม , Dr.Slump
2
เรียบเรียง : Red Diary ❤
โฆษณา