2 พ.ค. 2019 เวลา 10:46 • ธุรกิจ
Siphon : กลโกงโยกเงินบริษัท
สิ่งที่พูดนี้จะเกี่ยวการโยกเงินสดของบริษัทจากนักลงทุนรายย่อยสู่นักลงทุนรายใหญ่ หรือการเสกเงินในกระป๋องที่เป็นสมบัติรวมของนักลงทุนทุกคนมาอยู่ในกระเป๋าของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
2
.
ขอเริ่มต้นจากการที่ผู้ก่อการทำธุรกิจ (ครอบครัวหรือคนกลุ่มหนึ่ง) ใช้ทุนของตนเองตั้งบริษัทประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นมีการขายหุ้นหรือระดมทุนให้ประชาชนคนอื่นๆ มาร่วมลงทุนในกิจการนั้นด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการก็จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เมื่อประชุมผู้ถือหุ้นกันผู้ก่อการก็จะกลายเป็น CEO ไป (สมมติว่าเป็นทุนของกลุ่มใหญ่ 60 ล้านบาท ของนักลงทุนรายย่อย 40 ล้านบาท รวมเป็น 100 ล้านบาท)
.
ให้ระวังการ “รังแก” จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ดี เพราะมีวิธีการผ่องถ่ายหรือดูดเงินของกองกลางมาเข้ากระป๋องตนเองหรือพรรคพวกอยู่ 3 วิธีหลักคือ
(1) เอาเงินที่ลงทุนไปคืนมาก่อน
(2) หักกำไรเอาไว้ก่อน
(3) กู้เงินไม่มีดอกเบี้ยหรือไม่จ่ายหนี้
1
.
วิธีแรก ของการโกงก็คือ กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งขอเรียกว่าบริษัท ก.ไปแอบเปิดบริษัท ข.และคณะกรรมการบริษัท ก. (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของกลุ่มลงทุนใหญ่ เพราะผู้มีเสียงข้างมากย่อมแต่งตั้งกรรมการบริษัทข้างมากได้เป็นธรรมดา) มีมติให้ไปลงทุนในบริษัท ข. ซึ่งมักเป็นบริษัทลี้ลับนอกตลาดหลักทรัพย์ สมมติเป็นเงิน 60 ล้านบาท บริษัท ข.ซึ่งไม่ได้น่าลงทุนอะไรเลยก็ได้เงินไป 60 ล้านบาท และบริษัท ก.ก็ได้ใบหุ้นแสดงการร่วมทุนกับบริษัท ข.ไป แต่บริษัท ข.จริงๆ เป็นของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่
.
ดังนั้น กลุ่มนี้จึงได้เงินจำนวนนี้สบายแฮไป เรียกว่าได้เงินที่ลงทุนไปแต่แรกกลับคืนแล้ว ต่อไปจะเจ๊งก็ไม่กลัว
.
ในทางบัญชี บริษัท ก.ก็ยังเข้มแข็งอยู่เพราะเงินสด 60 ล้านบาท นั้นก็แค่แปรรูปเป็นหุ้นแสดงการลงทุนในบริษัท ข. เพียงแต่ว่าในความเป็นจริงผู้ถือหุ้นรายใหญ่เขาเล่นกลสูบเงินออกไปแล้ว แต่แมงเม่าทั้งหลายที่แห่ซื้อหุ้นบริษัท ก.ไว้ หารู้ไม่ว่าบัดนี้ตนเองได้ขยับเข้าใกล้กองไฟไปอีกหนึ่งขั้นแล้ว
2
.
วิธีการนี้แพร่หลายในบ้านเรามาก และทำกันมานานอย่างสนุกสนาน ที่รวยๆ กันจนซื้อบ้าน 50-60 ล้านบาท ก็มาจากวิธีนี้ไม่น้อย การสูบเงินแบบนี้ก็ทำกันมากในบริษัทหรือคนที่ร่วมหุ้นกันธรรมดาๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ แค่หน้าด้านและจิตใจชั่วร้ายเสียอย่างก็ทำได้อย่างสบายใจ
2
.
วิธีที่สอง คือ แอบดูดเอากำไรไว้ก่อนอย่างนอกเหนือจากเงินปันผล สมมติว่านาย ฮ.(ตั้งชื่อเพื่อให้ห่างไกลนาย ก. เพราะกลัวเผลออ่านไม่มีวรรค) เป็นผู้ก่อการธุรกิจและเป็น CEO ของบริษัท ก. วิธีที่ทำก็คือ นาย ฮ.มีเงินเดือนสูงมาก บวกรถประจำตำแหน่ง ค่ารับรอง ค่าคอนโด ค่าประกันชีวิต ค่าสันทนาการ ค่าประกันสุขภาพ ค่าเป็นสมาชิก Golf เรียกว่าสารพัดสิ่งที่เรียกว่า perks และสิทธิพิเศษในการซื้อหุ้นที่ต่ำกว่าราคาตลาด ฯลฯ
.
โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีทางรู้ได้เลย อย่างดีก็แค่รู้เงินเดือนจากการถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจเป็นเพียง 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินที่รับจริงรวมกันก็ได้
.
แค่นี้ยังพอทน แต่ที่มันหนักหนาก็คือ นาย ฮ.หรือกลุ่มพรรคพวกมักมีบริษัทส่วนตัวจำนวนมากที่มาทำธุรกิจวนเวียนอยู่กับบริษัท ก. และเรียกเก็บค่าบริการไม่ว่าจากการทำงานให้จริงหรือปลอม (คือมีแต่ลม แต่บริษัท ก.ต้องจ่ายเงินให้) หรือในราคาแพงสุดสุด หรือประมูลงานของ ก.ได้ทุกที ในราคาสุดแสบ โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีทางห้ามปรามได้
.
นอกจากนี้บริษัท ก.มีลูกบริษัทในเครือมากมาย (พนันได้ว่ากลุ่มนาย ฮ.ลงทุนร่วมทั้งเปิดเผยและแอบแฝง) นาย ฮ.และพรรคพวกบริหารงานหลายบริษัทจนได้เบี้ยประชุมมากมาย และบริษัทแม่คือ ก.จ่ายค่าบริหารจัดการ ค่าเดินทางไปเจรจาต่างประเทศ ค่าบริหารการตลาด ค่ารับรอง ฯลฯ ให้แก่บริษัทลูกเหล่านี้และคนเหล่านี้อย่างหน้าชื่น
.
ที่มักทำกันก็คือ บริษัทส่วนตัวของ นาย ฮ.และพรรคพวก ซื้อขายสินค้ากับบริษัท ก.อย่างสนุกโดยใช้ราคาเป็นเครื่องมือ “สูบ” ถ้าซื้อทรัพย์สินจาก ก.ก็จะเป็นราคาต่ำมาก แต่ถ้าขายทรัพย์สินให้ ก.ก็จะเป็นราคาสูงมาก ถ้าขายสินค้าให้ ก.ราคาก็จะสูงปรี๊ด แต่ถ้าซื้อจาก ก.มาราคาก็ทิ่มดิน
.
อย่างนี้ถ้านาย ฮ.และพรรคพวกไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว แต่คนที่จนลงก็คือแมงเม่าผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหลาย ควรจะได้รับเงินปันผลมากกว่าเดิม และบริษัทมั่นคงกว่าเดิมแต่ก็ไม่เกิดขึ้น จะแก้ไขข้อเสียเปรียบได้ก็คงต้องแต่งงานร่วมวงศ์อสัญแดหวา (โจร) กับนาย ฮ.กระมัง
.
วิธีที่สาม ก็คือ นาย ฮ.และผู้บริหารกู้เงินไม่มีดอกเบี้ยจากบริษัท ก. และบ่อยครั้งก็ชักดาบ แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะต่อมายกหนี้ให้โดยถือว่าเป็นโบนัส(ให้ไปดูงบการเงินของบริษัทใหญ่ที่ปรับโครงสร้างหนี้หลังวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว จะเห็นชัดเจนว่า ผู้บริหารเหล่านี้เกิดมามีบุญวาสนามากเพราะหนี้ส่วนตัวจำนวนมาก ในที่สุดคนทั้งประเทศจะเป็นผู้รับภาระแทนด้วยเงินภาษีอากร)
.
บ่อยครั้ง บริษัท ก.กู้เงินจากธนาคาร และนำมาให้นาย ฮ.หรือบริษัทส่วนตัวของนาย ฮ.กู้ยืมเงินต่อด้วยอัตราดอกเบี้ยและมักแทงเป็นหนี้สูญเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง
.
นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย ที่พิสดารมีมากกว่านี้อีก เช่น บริษ้ท ก.เช่าอาคารที่เป็นสมบัติส่วนตัวของนาย ฮ.สัญญา 50 ปี และจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 50 ปีให้นาย ฮ.ด้วย !
.
เงินเดือนของ นาย ฮ.และญาติพี่น้องของนาย ฮ.ในบริษัทนั้นรวมกันแล้วในแต่ละเดือนสูงนับเป็นร้อยเป็นพันเท่าของเงินเดือนของพนักงานในบริษัททุกคนรวมกัน
.
ถามว่าทางการตรวจสอบไม่ได้หรือด้วยวิธีการบัญชี คำตอบคือ ยากมาก เพราะเขาโยกกันไปก่อนแต่งบัญชี แต่จริงๆ ก็ทำได้ด้วยวิชา Forensic Accounting (ทำแบบหมอพรทิพย์ทำกับศพ แต่นี่คือ การ “แกะรอย” เส้นทางเดินของเงินสด การลงบัญชี ข้อมูลรอบข้าง ฯลฯ) แต่เสียเวลามาก และไม่มีใครอยากทำ
.
วิธีการเหล่านี้ปัจจุบันก็ยังคงทำกันอยู่อย่างสนุกสนาน
.
จำเป็นหรือไม่ว่าวิธีการเหล่านี้จะเกิดเฉพาะในบริษัทใหญ่ในตลาดที่ผู้ก่อการและครอบครัวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 คำตอบคือไม่จำเป็น แค่ถือหุ้นรวมกันร้อยละ 30 ก็สามารถทำให้นาย ฮ.เป็น CEO และแต่งตั้งพรรคพวกเป็นกรรมการเพื่อร่วมกันปู้ยี่ปู้ยำบริษัทในระดับที่พอทำให้บริษัทอยู่ได้ มีกำไร และผู้ถือหุ้นพอใจ
.
ทั้งนี้ เพราะผู้ถือหุ้นไทยมักไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้นกัน และไม่มอบฉันทะให้ใครลงคะแนนแทนด้วย
.
ไม่ใช่ทุกบริษัทในตลาดที่ “สูบ” บริษัทไทยที่มีธรรมาภิบาลก็มีอยู่เหมือนกัน มีคุณธรรมและจริยธรรมพอที่จะไม่ “รังแก” ผู้ถือหุ้นรายย่อย
.
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่การควบคุม ติดตาม ตรวจจับ กลโกงเหล่านี้เป็นไปได้ยากเย็น และยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีการออกกฎหมายลงโทษหนัก และเอาคนทำผิดติดคุกจริงๆ สักที
.
กลโกงเหล่านี้ ในบริษัทเล็กๆ ที่ท่านร่วมหุ้นกับเพื่อนก็เกิดขึ้นได้ หากท่านไม่สร้างกติกาป้องกันให้ดี ท่านอาจเสียทั้งเงินและเพื่อนด้วย
ติดตามความรู้ ข้อมูลข่าวสารดีๆด้านการลงทุน
Line ID: @BestCom (มีตัว@ด้วยนะครับ)
หรือคลิ๊กมาเลยที่: http://line.me/ti/p/@ldj3404k
โฆษณา