2 พ.ค. 2019 เวลา 14:20 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Nectome - ตายแล้วต้องไปไหน (ด้วยเหรอ?)
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ Nectome บริษัทสตาร์ทอัพจากเมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอเนียร์นั้นคิดต่างออกไป เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือการเก็บสมองของคนตายเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด และเมื่อในอนาคตที่เทคโนโลยีทั้งหลายพร้อมจะดึงความทรงจำทั้งหลายที่อยู่ในนั้นออกมาเป็นไฟล์ข้อมูลดิจิตอล และสุดท้ายเพื่อนำมันกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
อ่านถึงตรงนี้คงแอบคิดไม่ได้ว่านี่มันโครงเรื่องของซีรี่ย์ดังทาง Netflix ชื่อ Altered Carbon ที่กำลังฉายอยู่ไม่ใช่เหรอ? ใช่ครับ มันคล้ายกันมากจนผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาหลายคนมองว่าสิ่งที่ Nectome กำลังพยายามจะสร้างนั้นเป็นเรื่องตลกขบขันเข้าขั้นไร้สาระ ออกแนวนิยายไซไฟที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้ามองทางฝั่ง Nectome ที่เขียนเอาไว้บนเว็บไซต์ของพวกเขาว่า “Committed to the goal of archiving your mind.” แล้วต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสำหรับพวกเขา ถ้าใครอ่านหนังสือ The Singularity is Near ของ Ray Kurzweil นักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ก็คงคุ้นเคยกับไอเดียนี้กันดี ซึ่งเขาบอกว่าเทคโนโลยีทำนองนี้น่าจะเป็นจริงได้ภายในปี 2030 (อีกแค่ 10 กว่าปี!!!)
แนวคิดของ Nectome คือการใช้กระบวนการทางเคมีเพื่อเก็บรักษาเนื้อสมองให้สมบูรณ์เป็นระยะเวลานานหลายศตวรรษ ด้วยความหวังที่ว่าวันหนึ่งเทคโนโลยีจะสามารถแปลงเนื้อสมองตรงนี้ให้กลับมาสร้างเป็นคอมพิวเตอร์จำลอง (ในรูปแบบใดก็ได้ หุ่นยนต์, AI, โปรแกรมแชท ฯลฯ) ซึ่งถ้าลองนึกภาพก็คล้ายกับการนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากโคม่า สะดุ้งตื่นจิตถูกปลุกกลับมาเป็นตัวคุณอีกครั้ง...แค่ในอีกร่างหนึ่ง เหมือนเป็นตัวคุณที่ไม่ใช่ตัวคุณ (พอพูดไปพูดมาก็เริ่มรู้สึกว่านี่มันร่างทรงชัดๆ) จะได้กลับมาสบตาคนที่รักและลิ้มรสอาหารจานโปรดอีกครั้งหนึ่ง
เอาหล่ะตอนนี้คุณอาจจะกำลังคิดว่า “โอเค ก็เก็บไปสิสมอง ตายไปแล้วยังไงก็ไม่ได้ใช้ เก็บไว้เผื่อใช้ได้ก็ไม่มีปัญหา สบายมาก” แล้วยกมือขอเข้าร่วมโครงการด้วย อืม...มันไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียวนี่สิ
เรื่องชวนขนลุกอย่างหนึ่งที่จำเป็นในการกระบวนการทั้งหมดคือสมองนั้นต้องสด สดในที่นี้คือเจ้าของสมองนั้นต้องยังมีชีวิตอยู่ระหว่างนั้น โดยทางบริษัทนั้นวางแผนเอาไว้ว่าจะใช้มันกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อใส่สารเคมีเข้าไปตามเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณลำคอ ซึ่งขั้นตอนการเก็บรักษาสมองมีผลทำให้คุณเสียชีวิตแน่นอน 100% และด้วยเหตุผลนี้เองจึงเกิดเป็นข้อถกเถียงเรื่องการุณยฆาตตามมา ยิ่งเป็นกลุ่มเคร่งเกี่ยวกับศาสนาแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคงไม่มีอะไรที่ผิดหลักคำสอนพื้นฐานมากไปกว่าการหยุดลมหายใจของมนุษย์อีกแล้ว (ซึ่งความเชื่อตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้นในตัวมันเองเช่นกัน)
Robert McIntyre หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทบอกว่า
“ประสบการณ์มันจะเหมือนกับการุณยฆาตโดยเจตจำนงที่มีแพทย์เป็นผู้ช่วยเหลือ”
หลายต่อหลายคนเชื่อในแนวคิดของ Transhumanism (ลัทธิพ้นมนุษย์) ที่บอกอนาคตมนุษย์สายพันธ์ใหม่ในรูปแบบอื่น (เช่นคอมพิวเตอร์โปรแกรม ลูกครึ่งผสมระหว่างหุ่นยนต์กับมนุษย์ หรือมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงตัดแต่งทางพันธุกรรม ฯลฯ) เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่อีกฝั่งหนึ่งก็บอกว่ามันเป็นไอเดียที่หาผลประโยชน์จากกลุ่มมนุษย์ผู้ร่ำรวยที่กลัวความตายและพยายามใช้เม็ดเงินเพื่อหาความเป็นอมตะ (Immotality) เท่านั้น
ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่งไหนของความเชื่อ ความสำเร็จของ Nectome คือสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาให้ความสนใจกับพวกเขา เพราะที่จริงแล้วธุรกิจด้านการเก็บรักษาสมองไม่ใช่เรื่องใหม่ บริษัท Alcor Life Extension Foundation ในรัฐ Arizona ได้ทำการเก็บร่างกายและส่วนหัวของมนุษย์ในไนโตรเจนเหลว แต่ก็มีการโต้เถียงกันอยู่ว่าวิธีการนี้จะทำลายเนื้อสมองจนเกินจุดที่จะซ่อมแซมได้ ทาง Nectome จึงได้คิดค้นเทคนิคของพวกเขาที่เรียกว่า “Vitrifixation” ที่เป็นการผสมระหว่างการ Fixation ที่ใช้สารเคมีเพื่อให้ไซแนปส์นั้นแข็งตัวและไม่เสื่อมสภาพ หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการ Vitrification หรือการแช่แข็งแบบผลึกแก้ว ที่ใช้สารเคมีเคลือบและนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ -122 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลึกน้ำแข็งมาทำลายเซลล์ ซึ่งเทคนิคนี้เพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถเก็บรักษาสมองของหมูไว้ได้ในสภาพที่สมบูรณ์ชนิดที่ว่าทุกไซแนปส์ (ช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาท) สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน ซึ่งตามคำอ้างอิงของสถาบัน Brain Preservation Foundation เจ้าไซแนปส์เหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นเหมือนแผนที่ขนาดใหญ่ของสมอง คอยสื่อสารระหว่างเซลล์สมองหนึ่งไปยังอีกเซลล์สมองหนึ่ง ซึ่งเรียกโดยรวมทั้งหมดว่า Connectome และมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างความทรงจำต่างๆของมนุษย์
แต่ถึงตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าสมองที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้จะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต (ไม่เหมือนกับไอเดียของบริษัท Alcor) แต่ที่พวกเขาต้องการทำคือการดึงข้อมูลที่อยู่ในนั้นออกมาต่างหาก โดย Ken Hayworth ผู้บริหารของ Brain Preservation Foundation บอกว่า
“แม้ว่าสมองนั้นตายไปแล้ว มันก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ถูกปิด แต่ก็ไม่ได้หมายความข้อมูลทุกอย่างไม่ได้อยู่ในนั้นซะหน่อย”
ในเวลานี้บริการเก็บดองสมองของ Nectome นั้นยังไม่ได้มีการเปิดให้ใช้โดยทั่วไป อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและเรื่องกฎหมายที่แตกต่างกันในแต่ละที่เกี่ยวกับการุณยฆาต ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าความทรงจำทั้งหลายจะยังคงถูกเก็บไว้ในเนื้อสมองเหล่านี้ ทางบริษัทก็ได้ทดลองเปิดให้ผู้ที่สนใจใช้บริการลงชื่อในลิสต์พร้อมวางเงินมัดจำ 10,000 เหรียญ (\~320,000 บาท) และถ้าเกิดเปลี่ยนใจทีหลังก็สามารถรับเงินคืนได้ทั้งหมด ถึงตอนนี้มีคนลงชื่อแล้วกว่า 25 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Sam Altman หนึ่งในนักลงทุนของโปรแกรม Y Combinator (โปรแกรมที่ช่วยสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของโลก เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลายบริษัทอย่าง Dropbox, Airbnb, Stripe, Reddit, Scribd, SocialCam และล่าสุด Unicorn) เขาบอกว่าความคาดหวังของเขาคือในวันหนึ่งข้างหน้าสมองของเขาจะถูกอัพโหลดขึ้นไปอยู่บนคราวน์ เหมือนอย่างที่ Nectome ได้โฆษณาเอาไว้
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Vitrifixation ในสมองกระต่ายและหมูไปแล้ว เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทาง Nectome ได้ทดลองใช้มันกับสมองมนุษย์คนแรกไปแล้วด้วย หลังจากที่หญิงสูงวัยคนหนึ่งเสียชีวิตได้ประมาณ 2.5 ชั่วโมง กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของ Nectome ก็เริ่มลงมือปฎิบัติการเก็บรักษาเนื้อสมอง กระบวนการทั้งหมดใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงและจากคำกล่าวอ้างของ McIntyre มันเป็นสมองที่ถูกเก็บรักษาในสภาพที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งคือระยะเวลา 2.5 ชั่วโมงจากวินาทีที่เธอเสียชีวิตและเริ่มต้นกระบวนการทั้งหมดนั้นนานเกินไป เพราะเนื้อสมองบางส่วนได้เริ่มเสียหายไปแล้วในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกไว้ตอนแรก ถ้าอยากได้สมองในสภาพที่สวยที่สุดต้องทำตอนที่คนๆนั้นยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่งของความเชื่อในไอเดีย นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่าขั้นตอนทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่หลอกลวงเหลวไหล ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการสร้างมโนภาพความฝันให้กับคนที่กลัวความตายที่รออยู่ตรงหน้า ซึ่งมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรมาการันตีได้เลยว่าในอนาคตนั้นเทคโนโลยีจะสามารถดึงข้อมูลจากเนื้อสมองที่เก็บรักษาเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่ากระบวนการที่พวกเขาคิดขึ้นมานั้นจะสมบูรณ์แบบขนาดไหนก็ตาม
ในเวลานี้ Nectome ก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทขายฝันที่ยังไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะเป็นอย่างที่สัญญาเอาไว้รึเปล่า หลายคนเลือกที่จะเชื่อ ส่วนอีกหลายคนเลือกที่จะเบือนหน้าหนี แนวคิดใหม่ทางวิทยาศาสตร์มักสร้างปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ แบ่งคนออกเป็นสองฝั่งให้ถกเถียงกันจนกว่าจะหาหลักฐานที่แน่ชัดมายืนยัน อนาคตเราอาจจะตายแต่ก็ไม่ได้จากไปไหนก็ได้ อาจจะกลับมาอยู่ในรูปแบบของจิตดิจิตอลในระบบคอมพิวเตอร์ แต่จนกว่าจะถึงจุดนั้นความตายยังคงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่อาจจะฝืนได้ และจากที่ได้ยินความเห็นของหลายคนก็บอกคล้ายๆกันว่า
“เราเฝ้าแต่จะถามว่าทำได้ไหม? แต่กลับลืมถามไปว่าควรทำไหม?”
โฆษณา