6 พ.ค. 2019 เวลา 03:43 • สุขภาพ
Ootoya ญี่ปุ่น vs ไทย ต่างกันยังไง?
และนี่คือ Ultimate Review ของร้าน “Ootoya” หรือแปลไทยกันตรงๆว่า ร้านประตูบานยักษ์ เพราะตัวผมและสหายอินเดียเป็นแฟนพันธุ์แท้ร้านนี้
วันเสาร์คนอื่นเค้าแฮงค์เอ้าท์สตาร์บัคส์ ส่วนพวกผมนั่งพักกันที่โอโตยะ 5555 แล้วร้านนี้มันมีดียังไง? สาขาในไทยต่างกับญี่ปุ่นตรงไหน? ไปดูกัน!
Ootoya เป็นอีกร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดสาขาอยู่ในไทย แต่ว่าราคาก็นะ ไม่ใช่ใครจะเดินเข้าได้ทุกวัน 5555 ผิดกับโอโตยะที่นี่ ซึ่งเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกผม
1
เรื่องมันเริ่มจากว่า ผมอยากกินอาหารที่มันดีต่อใจ วันเสาร์เงี้ย ถ้าไม่ทำเองก็ต้องออกไปกินข้างนอก แล้วมันมีอยู่สองสิ่งที่เป็นประเด็น แน่นอนหล่ะ… อย่างแรกมันก็คือ “ราคา” และอย่างที่สอง “คุณภาพ”
ถ้าเอาราคาเป็นหลักเลยก็มีแต่พวก “fast food” เช่น พวกเซ็ตไก่ทอดคาราอาเกะ ข้าวหน้าเนื้อสไตล์ yoshinoya อะไรเทือกนี้ ซึ่งมันก็ราคา 400 - 800 เยน แต่รสชาติก็แค่พอกินได้ ด้วยความที่มันเป็นฟาสต์ฟูด บางทีอาหารก็มาเสิร์ฟเย็นๆ… เห้ยนี่อาหารนะ ไม่ใช่ไอติม! กินไปเรื่อยๆก็ไม่ไหว
แม่งไม่ได้ดีกว่าอาหารโรงงานกูเลย 5555
1
พอรู้ถึงหูว่าแถวบ้านมีโอโตยะ ก็เลยไปชวนสหายอินเดีย “เห้ย ร้านนี้ประเทศกูมี อร่อยดี ลุยป่ะ?” ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงแพงเหมือนที่ไทย แต่ได้เข้าไปครั้งนึงเท่านั้นแหล่ะ… เข้าออกกันเป็นว่าเล่น! คือไปบ่อยจนพนักงานเค้าต้องพูดว่า “เห้ย ไอสองคนนี้มันมาอีกแล้ว” 55555
เซ็ตทงคัตสึสันนอกหมูในซุปหวานๆเค็มๆ 950 เยน
เวิ่นเว้อเกินไปจะไม่งาม มาเริ่มกันที่เอเลเมนท์สำคัญสุดของคนงบจำกัดก่อนเลย มันก็คือ “ราคา” นั่นเอง
1. ราคา
เมนูส่วนใหญ่ที่นี่จะอยู่ในช่วง 700 - 1000 เยน ซึ่งเพิ่มเพียงแค่หลักร้อยสองร้อยเยนก็ได้อาหารอีกเกรดนึงแล้ว เป็นนักเรียนทำงานพิเศษชมเดียวนึงก็กินได้แล้ว แถมยังเหลือตังทอน แต่ที่ไทยพูดง่ายๆ ได้คำเดียวว่า แพง! เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ
1
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เมนูสะโพกไก่คัตสึในมิโซะ
ราคา 880 เยน (260 บาท) ซึ่งมันรวม vat เรียบร้อย
แต่ที่ไทยผมแอบไปส่องเมนูมา ล่าสุด 289 บาท
บวกอีก 10% ค่า service charge เพราะงั้นโอโตยะที่นี่จึงเข้าได้(ค่อนข้าง)บ่อย
เซ็ตสะโพกไก่คัตสึในซุปมิโสะเดือดๆ ราคา 880 เยน (260บาท) ที่ไทยราคา 289 + Service charge
2. ปริมาณ
เดี๋ยวจะหาว่าดิสเครดิตโอโตยะเมืองไทย ส่วนหนึ่งที่ราคามันสูง ก็เพราะว่าข้าวและน้ำรีฟิลได้ไม่อั้น ผิดกับที่นี่ซึ่งขอเติมอะไรไม่ได้ แต่ว่าข้าวขอเพิ่มขนาดได้ฟรี ปกติ 180 g เพิ่มเป็น 300 g แล้วสามร้อยกรัมนี่มันเยอะแค่ไหน? คือแม่งอิ่มจนต้องร้องขอชีวิต จะเลือกข้าวธัญพืชก็ได้ ส่วนน้ำดื่มไม่ต้องพูดถึง เพราะที่นี่ Japan แดนน้ำฟรี
เมนูจานหลักของร้านจะเน้นไปที่ความบาลานซ์ของจาน ทั้งข้าว ผัก เนื้อ ปิดด้วยซุป ส่วนตัวผมชอบซุปที่ไทยมากกว่า ที่มีแครอทกับอะไรซักอย่าง กินแล้วนึกถึงแม่ แต่ของที่นี่เป็นแค่ซุปมิโสะธรรมดา ยังดีเค็มน้อยกว่าของร้านอื่น
ใครสายไม่กินผักแนะนำว่า หนีไป!! 5555 คือถ้าอยากกินสลัดหรือผัดผักสไตล์ญี่ปุ่น ผมก็นึกร้านอื่นไม่ออกนอกจากโอโตยะ ที่นี่จะพิเศษหน่อยตรงที่มีออปชั่นเพิ่มเนื้อสัตว์ในเมนูเป็น 1.5 เท่า (บางเมนู)
เซ็ตสันนอกทงคัตสึสุดคลาสสิก 950 เยน
3. รสชาติ
ต้องบอกว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารปรุงสดใหม่ คือกินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไก่ทอดทิ้งไว้ชั่วโมงก่อนแล้วเอาไปอุ่นซ้ำ ทางร้านโฆษณาว่ารสชาติอาหารแบบ homemade เหมือนแม่ชาวญี่ปุ่นมาทำให้กิน แต่ไม่รู้จริงมั้ย เพราะไม่เคยมีแม่เป็นคนญี่ปุ่น
2
ส่วนรสชาติเทียบกับที่ไทยต้องบอกว่าผมแยกไม่ออกจริงๆ คือเป๊ะ! แต่ว่านะ เทพเจ้าความเค็มของญี่ปุ่นก็ไม่เว้นกับร้านนี้เช่นกัน แรกๆผมกินก็ว่าเค็ม แต่กินบ่อยๆ ดันกลายเป็นไม่เค็มซะงั้น 5555
เมนูเด็ดที่นี่ก็ทงคัตสึในน้ำมิโสะข้นๆ กินไก่คัตสึทอดกรอบๆในซอสหวานมันเค็มแล้วมันฟินจริง อีกเมนูก็สะโพกไก่ย่างถ่าน ที่ย่างจนหนังเคี้ยวดังกร๊อบ! แต่เนื้อไก่ยังคงความฉ่ำนุ่มไว้อยู่
ส่วนเมนูยอดแย่ก็มี ไอผัดผักซอสคุโรสุ ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายได้ตรงกว่าคำว่า “ขยะ” 55555 ขอไม่บรรยายให้เสียเวลา คือถึงสั่งมาแล้วโยนทิ้งไปก็ไม่เสียดาย
3
ไก่ผัดซอสคุโรสุขวาล่างนี่ต้องยกนิ้วให้เลย... นิ้วกลาง 55555
4. เซอร์วิส
บริการร้านนี้คือดีทั้งสองประเทศ แต่ว่าแดนที่ลูกค้าเป็นเทพเจ้าแห่งนี้ เราก็ได้เห็นบริการที่ “เด็ด” กว่าที่ไทย คือน้ำจะหมดก็มาเติมให้รัวๆ เลม่อนก็ขอได้ไม่อั้น ความสุภาพ(เกินไป)ของพนักงาน และที่เด็ดกว่านั้นก็คือความใส่ใจ
เรื่องมันมีอยู่ว่า สหายอินเดียเจ้าเก่า ไม่ชอบกินน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง พนักงานยกมาเสิร์ฟทีไรก็ต้องขอเปลี่ยนตลอด จนพนักงานเค้าจำความเรื่องมากได้ 5555 หลังจากนั้นก็จัดน้ำอุ่นมาให้ทุกรอบ ก็เลยต้องยอมให้กับเซอร์วิสสาขานี้!
1
ถ้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นใน Japan ที่มีคุณภาพ ในราคาประหยัด ผมคงไม่มีร้านอื่นจะแนะนำ นอกจาก “Ootoya” เพิ่งรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนก็ตอนที่รู้ว่า ทั้งคันไซมันมีแค่ 21 แห่ง แต่สาขานึงของมันดันมาอยู่แถวบ้านซะงั้น คุณภาพแบบนี้ แต่ราคามิดเรนจ์ นึกไม่ออกจริงๆว่า ถ้าไม่มีจะลำบากแค่ไหน ขนาดสหายอินเดียยัง approve บอกว่านี่แหล่ะ “บ้านหลังที่สอง” 5555
1
สำหรับใครที่ชื่นชอบผลงานสามารถติดตามได้ทางเพจ facebook "อยู่ญี่ปุ่นกับคนอินเดีย" กันอีกทางนะครับ
#AdminKusatsu
โฆษณา